อารมณ์นั้นเข้ามาทางไหน
วันหนึ่งๆ ทุกคนอยู่ในโลกของความคิดเกือบตลอดเวลา คิดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา คิดถึงเสียงที่ปรากฏทางหู คิดถึงกลิ่นที่ปรากฏทางจมูก คิดถึงรสที่ปรากฏทางลิ้น คิดถึงโผฏฐัพพะที่ปรากฏทางกาย แล้วก็เป็นสุข เพลิดเพลินไปกับความคิดของตนเอง ทั้งๆ ที่สีซึ่งกระทบตานั้น ก็ดับไปหมดแล้ว เสียงที่กระทบหูก็ดับหมดแล้ว กลิ่นที่กระทบจมูกก็ดับหมดแล้ว รสที่กระทบลิ้นก็ดับหมดแล้ว สิ่งที่กระทบกายก็ดับแล้ว แต่กระนั้นวันหนึ่งๆ ก็ยังไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงเลยว่า สุข ทุกข์ เกิดขึ้นเพราะจิตประเภทไหน ทางไหน เมื่อไร พิสูจน์จิตได้ในขณะนี้ว่าเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เพราะจักขุปสาทเป็นรูป จักขุปสาทเองไม่เห็นอะไรเลย โสตปสาทคือ หูก็ไม่ได้ยินอะไรเลย แต่เป็นทางคือ เป็นรูปที่กระทบเสียง ฆานปสาทรูปกระทบกลิ่น ชิวหาปสาทรูปกระทบรส กายปสาทรูปกระทบเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ทำให้จิตคิดเรื่องต่างๆ
วันหนึ่งๆ จะพิสูจน์สภาพธรรมได้คือ เมื่อระลึกได้ก็มีธรรมให้พิสูจน์ เช่น ขณะนี้ก็มีอ่อนหรือแข็งปรากฏแล้ว นั่นคือ จิตกำลังรู้อ่อนหรือแข็ง เมื่อเอาใบไม้กระทบใบไม้ ใบไม้ไม่รู้ว่ากระทบอ่อนหรือแข็ง เพราะไม่มีจิต แต่สัตว์บุคคลซึ่งมีจิตนั้น เมื่อกระทบไฟก็รู้สภาพร้อน ขณะที่รู้สภาพร้อนนั้นก็เป็นจิตประเภทหนึ่ง จิตเป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงทำให้โลกนี้ปรากฏ ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีสภาพรู้ ธาตุรู้ มีแต่รูปอย่างเดียว โลกนี้ก็ไม่ปรากฏกับใครเลย