ผู้ใดสามารถแสดงถึงอดีตกรรมของแต่ละบุคคล
สมัยพระผู้มีพระภาค ฯ ยังไม่ปรินิพพานนั้น เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ท่านพระภิกษุทั้งหลาย ก็ได้กราบทูลถามถึงอดีตกรรมของแต่ละบุคคลในเหตุการณ์นั้นๆ พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงถึงอดีตกรรมของแต่ละท่านในอดีต ซึ่งเป็นกรรมของแต่ละบุคคลนั้นเอง ไม่ได้ทรงแสดงเลยว่า เพราะพ่อแม่ทำกรรมอย่างนั้น ลูกจึงได้รับผลกรรมอย่างนั้น
สมัยนี้ ถ้าพระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน แล้วมีผู้ไปกราบทูลถามถึงเหตุการณ์นี้ พระองค์ก็ย่อมจะทรงแสดง อดีตกรรมของลูกที่ได้กระทำแล้ว แต่เมื่อไม่มีใครสามารถจะรู้อดีตกรรมของแต่ละบุคคลในชาตินี้ได้ จึงสับสนปนกันระหว่างกรรมของพ่อและกรรมของลูก แต่ขอให้ทราบว่าถ้าลูกไม่มีกรรมจริงๆ ลูกก็ไม่เกิด ถ้ากรรมของลูกไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น ผลที่เกิดกับลูกก็จะไม่เป็นอย่างนั้น แต่เพราะชาติหนึ่งชาติใดในสังสารวัฏฏ์ ลูกเคยทำกรรมเหมือนอย่างที่พ่อกระทำนั้นก็ย่อมเป็นไปได้ เพราะในอดีตชาติทุกคนก็ทำอกุศลกรรมคล้ายๆ กันทั้งนั้น เช่น ฆ่าสัตว์หรือถือเอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตนเองด้วยกลวิธีต่างๆ จิตใจที่เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เป็นเหตุให้ทำอกุศลกรรมต่างๆ ทางกาย วาจา ซึ่งตั้งแต่อดีตแสนโกฎิกัปป์มาแล้วจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ก็ไม่พ้นจากอกุศลกรรมบถ ๑๐
ผู้ใดทำกรรมใดๆ ไว้ ผู้นั้นย่อมมีกรรมเป็นของตน เมื่อเป็นกุศลกรรมก็เป็นเหตุให้กุศลวิบากจิตเกิดขึ้น เมื่อเป็นอกุศลกรรม ก็เป็นเหตุให้อกุศลวิบากจิตเกิดขึ้น แต่ต้องทราบให้ละเอียดกว่านั้นอีกว่า ขณะไหนเป็นกุศลวิบากจิต ขณะไหนเป็นอกุศลวิบากจิต ซึ่งต้องแยกออกไปแต่ละทาง คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย กรรมเป็นปัจจัยให้มีตาสำหรับเห็นก็จริง แต่ก็เห็นสิ่งที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่ว่าเป็นผลของกรรมอะไร ขณะใดที่ได้ยินเสียงที่ไม่ดี ขณะนั้นเป็นผลของอกุศลกรรม ขณะใดได้ยินเสียงที่ดี ขณะนั้นก็เป็นผลของกุศลกรรม ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็โดยนัยเดียวกัน ฉะนั้น จึงต้องเป็นผู้ละเอียดที่จะพิจารณารู้จิต ซึ่งเป็นผลของกรรมแต่ละทางด้วย