เมื่อคนเราละวางความอยาก การทำงานก็ไม่มีจุดหมาย?
ถาม ตามหลักจิตวิทยา ผู้ที่จะทำงานได้ดีเด่นจริงๆ นั้น ต้องมีความอยากจึงจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จลงไปได้ ซึ่งความอยากนั้นควรเนื่องมาจากกิเลส แต่พระพุทธศาสนาสอนให้ละให้วาง เมื่อคนเราละวางความอยากเสียแล้ว จิตใจย่อมเลื่อนลอย การทำงานก็ไม่มีจุดหมาย จึงดูคล้ายกับว่าหลักของพระพุทธศาสนาเป็นต้นเหตุของความเกียจคร้านหรือเป็นอุปสรรคต่อการงานที่จะให้ได้ผลจริงจัง มีความเห็นในข้อนี้อย่างไร
ตอบ ในครั้งพุทธกาล พุทธบริษัทที่เป็นสาวกผู้เลื่อมใสและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า นั้น มีตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดิน เสนาบดี มหาอำมาตย์ แพทย์ พ่อค้า ทุกอาชีพ แม้แต่ทาส กรรมกรที่ได้ฟังพระธรรม และพิจารณาเห็นประโยชน์ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่คนเกียจคร้าน เพราะเมื่อมีกิจหน้าที่อย่างใดก็ทำกิจหน้าที่นั้นๆ ได้สมบูรณ์ขึ้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น มีทั้งขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด ทรงแสดง ทั้งหน้าที่มารดาบิดาต่อบุตร และหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกันโดยสถานใดสถานหนึ่ง ในขณะที่ประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่นั้น ก็เจริญธรรมได้ เจริญสติปัฏฐานได้ เป็นพุทธบริษัท เป็นสาวกได้ สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
ไม่ใช่ว่าเจริญธรรมแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ปลีกตัวไปไม่ทำอะไรกันหมดทั้งกรุงราชคฤห์ ทั้งพระนครสาวัตถี ไม่ใช่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเสนาบดี ไม่ว่าจะมีอาชีพใดๆ ก็เป็นพุทธบริษัท เป็นพุทธสาวกที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วย ฟังพระธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมด้วยได้
การละกิเลสนั้นต้องละเป็นขั้นๆ ในขั้นแรกพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ละโทสะหมด ละโลภะหมด ละกิเลสหมดเป็นพระอรหันต์ทันที ผู้ที่จะเป็นพระโสดาบันได้นั้น จะต้องสะสมอบรมปัญญารู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่เห็นผิด และไม่ยึดถือสภาพธรรมใดๆ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน
การที่ปัญญาจะเจริญจนรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นี้ ต้องศึกษาและอบรมเป็นเวลานานแสนนานทีเดียว เพราะเป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่แท้จริง ซึ่งต่างจากที่เคยเข้าใจว่า รู้แล้ว
โลกทั้งโลกที่ปรากฏนี้ แยกได้โดยหลายลักษณะ ถ้าแยกโดยลักษณะของจักรวาล ก็เป็นเรื่องของดาราศาสตร์ แต่เมื่อแยกโดยลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็แยกเป็น ๖ โลก คือ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ
สภาพธรรมแต่ละอย่าง เกิดดับปรากฏสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมาก จึงปรากฏเป็นโลกที่มีทั้งแสงสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ พร้อมๆ กัน ความจริงแล้ว สภาพธรรมที่เป็นโลกแต่ละโลกนั้น จะปรากฏได้ทีละทางตามเหตุตามปัจจัย แต่เมื่อเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว จึงลวงให้เห็นเป็นคน สัตว์ได้ เหมือนนักเล่นกลที่ชำนาญมาก สามารถทำมายากลให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ได้ แต่สำหรับผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่หลงผิด เห็นผิดในสภาพธรรม เมื่อเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ก็ยังดำเนินชีวิตปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปตามที่ได้สะสมมา ตามควรแก่การบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นนั้นๆ