ควรจะระลึกรู้สภาพธรรมใดก่อน
สภาพธรรมเกิดพร้อมกันหลายอย่าง ควรจะระลึกรู้สภาพธรรมใดก่อน
เป็นความจริงที่สภาพธรรมเกิดพร้อมกันหลายอย่าง เช่น รูปร่างกายประกอบด้วยรูปหลายชนิด เกิดดับสืบต่อกัน รูปดิน น้ำ ไฟ ลม เกิดร่วมกันและดับไปพร้อมกัน แต่จิตรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ทีละอย่าง เพราะจิตดวงหนึ่งก็รู้อารมณ์หนึ่งเท่านั้น
เมื่อสัมมาสติเกิดร่วมกับจิต ก็ย่อมระลึกรู้สภาพธรรม ได้ทีละหนึ่งอย่าง เวลาที่บอกว่าลักษณะแข็งปรากฏ ก็ไม่ใช่ว่ารูปแข็งรูปเดียวเกิดขึ้นในขณะนั้นโดยที่ไม่มีรูปอื่นๆ เกิดด้วย เวลาที่กล่าวว่าลักษณะแข็งปรากฏนั้น ก็หมายความว่า ขณะนั้นจิตรู้สภาพที่แข็ง
เมื่อสติเกิดร่วมกับจิตใด สติก็ระลึกรู้อารมณ์เดียวกับจิตนั้น ขณะนั้นสติก็ระลึกรู้ว่า สภาพแข็งนั้นเป็นลักษณะของรูปอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน การที่สติจะระลึกรู้อารมณ์ใดนั้นบังคับไม่ได้ ไม่มีกฎเกณฑ์ว่า ให้สติระลึกสภาพธรรมใดก่อนหลัง แล้วแต่สติที่จะระลึกรู้นามธรรมใด และรูปธรรมใด
การรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมด้วยการเจริญสตินั้น ไม่ใช่การรู้โดยขั้นปริยัติ ในพระสูตรจะสังเกตได้ว่า พระผู้มีพระภาค ฯ ตรัสเนืองๆ เรื่องการรู้ชัดในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมทางทวาร ๖ เช่น ใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สัปปายสูตรที่ ๑ พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงปฏิปทา อันเป็นอุปการะแก่นิพพานแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน เป็นไฉน ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเห็นว่าจักขุไม่เที่ยง รูปทั้งหลายไม่เที่ยง จักขุวิญญาณไม่เที่ยง จักขุสัมผัสไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง ฯลฯ …
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพานฯ
การคิดพิจารณาว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงนั้น จะทำให้บรรลุนิพพานได้หรือ การละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตนนั้น หมดสิ้นไปเพียงด้วยการคิดนึกเท่านั้นไม่ได้ ปัญญาที่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏเท่านั้น ที่รู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ เมื่อรู้ชัดสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ก็ละคลายความเห็นผิดว่า เป็นตัวตนได้จริงผู้ที่เข้าใจผิดว่ารู้สภาพธรรมแล้ว ย่อมไม่เข้าใจความหมายของพระสูตรนี้ ทำไม พระผู้มีพระภาค ฯ จึงตรัสแล้วตรัสอีกว่า จักขุ จักขุวิญญาณ รูปารมณ์ไม่เที่ยง เพื่อทรงโอวาทให้สาวกเจริญสติ เพื่อวันหนึ่งจะได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง