ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม จะเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้องได้ไหม

 
บ้านธัมมะ
วันที่  22 ธ.ค. 2550
หมายเลข  6549
อ่าน  2,280

ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรมหรือผู้ที่ไม่จบป. ๖ ก็ไม่มีสิทธิที่จะเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้อง จริงหรือ

มีผู้สงสัยเหมือนกันว่า วิสาขามิคารมารดา ซึ่งท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านอนาถบิณฑิกะ หมอชีวกโกมารภัต ท่านเหล่านี้ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ท่านรู้เรื่องจิต ๘๙ ดวง หรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ท่านไม่ได้รู้ชื่อ แต่ปัญญาสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ภาษาไทยใช้คำว่า จิต ทุกคนเหมือนกับเข้าใจว่ามีจิต แต่ถ้าถามว่าขณะนี้จิตอยู่ที่ไหน ตอบได้ไหม เมื่อมีแล้วอยู่ที่ไหน ก็ตอบไม่ได้ ถ้าไม่ได้ศึกษา แต่ถ้าศึกษาแล้วจะเห็นความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น มีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง แม้ไม่มาก แต่สามารถที่จะเข้าใจได้มาก เพราะฉะนั้น จึงมีผู้ที่ฟังน้อย แต่เข้าใจมาก และเมื่อมีความเข้าใจมากในสิ่งที่ได้ฟังแม้เล็กน้อย เวลาที่ได้ฟังมากขึ้น ความเข้าใจก็ยิ่งมากขึ้นด้วย

เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจว่า การฟังนี้เป็นปัจจัยให้มีการพิจารณาสิ่งที่เข้าใจ ถ้าพิจารณาโดยความถูกต้อง ก็เข้าใจสิ่งนั้น นั่นคือ ปัญญาที่เข้าใจ ไม่ใช่เรา ความเข้าใจเกิดขึ้นในขณะที่ฟังเข้าใจแล้ว ก็ดับไป แล้วก็ขณะอื่นปัญญาจะเกิด หรือไม่เกิด หรือว่าจะเป็นปัญญาระดับไหน เพราะว่าปัญญาก็มีหลายระดับ ก็ต้องขึ้นกับเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่หมายความว่า พระพุทธศาสนาจะต้องจำกัดสำหรับผู้ที่เรียนเรื่องจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ โดยละเอียด แต่ว่าขณะเพียงฟัง ใครก็ตามที่ไม่รู้ถึงจิต ๘๙ แต่ขณะนี้สามารถจะเข้าใจสภาพของจิตว่า เป็นธาตุชนิดหนึ่ง มีจริงๆ เป็นสภาพรู้ ไม่ใช่รูปธรรม เป็นใหญ่ เป็นประธานในการจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ คือกำลังเห็นทางตา นี่เป็นลักษณะของธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเห็นอย่างเดียว จะทำอย่างอื่นไม่ได้เลย ถ้าเกิดอีก เห็นอีกก็คือ ธาตุนี้แหละ ธาตุที่เห็นก็เห็น ธาตุที่ได้ยินก็ได้ยิน ธาตุที่คิดนึก ก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน แต่คิดนึก

เพราะฉะนั้น ในพระไตรปิฎก นอกจากจะใช้คำว่า ธรรม ยังใช้คำว่า ธาตุทั้งหมด เช่น โลภธาตุ โทสธาตุ โมหธาตุ ทุกอย่างหมด ใช้คำว่าธาตุก็ได้ ธรรมก็ได้ ถ้าฟังเข้าใจอย่างนี้ แล้วเวลาที่ฟังต่อๆ ไป ก็สามารถที่จะเข้าใจอรรถ คือสภาพธรรมที่เป็นจิตประเภทต่างๆ เพราะว่าถ้าพูดถึงโลภะ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นจำนวนก็ได้ แต่ถ้าเข้าใจว่า โลภะ คือ สภาพที่ติดข้องบางครั้ง ก็มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย บางครั้งก็ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย เพราะว่าบางครั้งที่มีความเห็นผิด ความเห็นผิดนั้นต้องเกิดกับจิตที่เกิดร่วมกับโลภะ จึงติดข้องในความเห็นผิดนั้นๆ นี่เป็นเรื่องที่จะเข้าใจสภาพธรรมไปเรื่อยๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย และสามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้ โดยที่ว่า ไม่ต้องเป็นเรื่องของชื่อ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เจริญในธรรม
วันที่ 22 เม.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 7 ธ.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เข้าใจ
วันที่ 24 มิ.ย. 2555

การรู้ชื่อเป็นการรู้บัญญัติ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 4 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 1 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 11 เม.ย. 2565

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ