รู้สภาพธรรมที่ถูกต้อง เกิดจากธาตุรู้คือจิต ใช่หรือไม่
พระพุทธศาสนาแสดงสภาพธรรมละเอียดมาก ความจริง คือชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะจิตที่เกิดแล้วดับ แต่ว่าจิตที่เกิดทุกขณะ มีพลังหรือ มีสันตติในการที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีที่จิตนั้นดับลง เวลาที่พระคุณเจ้าสวดพระอภิธรรม จะมีคำว่า เหตุปัจจโย อารัมมณปัจจัย นัตถิปัจจโย วิคตปัจจโย วิคตปัจจัย คือนามธรรมที่มีแล้วปราศไป เป็นปัจจัยให้นามธรรมอื่นเกิดสืบต่อ เมื่อจิตขณะนี้เกิดแล้วดับ การดับ คือ การปราศไปของจิตขณะนี้ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ถ้าจิตขณะนี้ยังไม่ดับ ยังไม่ปราศไป จิตขณะต่อไปจะเกิดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ทุกคนจะมีจิตเพียง ๑ ขณะ ทีละ ๑ ขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ตายอีก แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว เมื่อจิตเกิดขึ้นทำหน้าที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วดับ แล้วจิตขณะต่อไปก็เกิดอีก แล้วก็ดับอีก จึงเป็นขณิกมรณะ เป็นความตายของสภาพธรรมทุกขณะ ไม่ใช่สมมติมรณะ คือความตายโดยสมมติ ซึ่งเมื่อเกิดมาแล้ว ถึงเวลาก็ตายไป แต่ขณะจิตแรกของชาติหน้าก็สืบต่อเป็นปฏิสนธิจิต จึงไม่ใช่สมุจเฉทมรณะ คือการตายจริงๆ ไม่เกิดอีกเลยของพระอรหันต์ ซึ่งใช้คำว่า “ปรินิพพาน” เพราะฉะนั้น การที่จะมีความเห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรม ก็ต้องศึกษาพระธรรม แล้วก็เริ่มความเห็นถูก แต่ไม่ใช่ว่ามีเราจะไปประจักษ์หรืออยากจะทำเพื่อที่จะให้เห็น แต่ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญา คือความเข้าใจถูกและรู้ว่า ขณะนั้นเริ่มเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น จนกว่าจะเป็นสติปัฏฐานที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้เข้าใจถูกต้องแล้ว