ปริยัติ กับ การปฏิบัติธรรม ไปด้วยกันได้หรือไม่
คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๓ ระดับ “ปริยัติศาสนา” คือการศึกษาให้เข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงก่อน เพราะว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย จะไม่เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร ธรรมอยู่ที่ไหน ขณะนี้เป็นเราหรือเป็นธรรม แต่ถ้ามีความเข้าใจถูก ก็จะถึงอีกระดับหนึ่ง คือมีปัจจัยที่จะทำให้มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แต่เพียงฟังเรื่องราวของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้
ขณะที่ฟังนี้ สภาพธรรมเกิดดับทำหน้าที่ของสภาพธรรมแต่ละประเภท แต่ไม่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย เพียงแต่กำลังฟังให้เข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรมเท่านั้น ต่อเมื่อใดมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัย เป็นสังขารขันธ์ ทำให้มีการระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ศึกษา ฟังเข้าใจ แล้วค่อยๆ ศึกษาอีกระดับหนึ่ง คืออธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา จนกว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตรงตามที่ได้ศึกษา
เพราะฉะนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องตรงกัน แยกกันไม่ได้เลย ใครก็ตามที่ไม่มีปริยัติ ไม่มีการศึกษาให้เข้าใจเรื่องสภาพธรรม แล้วจะปฏิบัติต้องผิด ใครก็ตามเมื่อไม่ได้ศึกษา แล้วปฏิบัติ ก็หมายความว่า คนนั้นไม่ได้มีพระธรรมเป็นสรณะ เพราะว่าคิดเอง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วก็ต้องผิด เพราะว่าใครจะมีความรู้หรือมีความสามารถที่จะเข้าใจธรรมโดยไม่ศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสิ่งที่ค่อยๆ พิจารณาในความสมบูรณ์ของพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ทั้งในขั้นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ควรฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจ ฟังเพื่อละความไม่รู้ (อวิชชา) ฟังเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นการอบรมเจริญปัญญา (ความรู้ในสภาพธรรมตามความเป็นจริง) ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมมากขึ้น ปัญญาเจริญมากขึ้น ปัญญานั่นเองจะทำกิจของปัญญา คือละกิเลส เราไม่มีทางจะละกิเลสได้ด้วยความเป็นตัวตน เพราะความเป็นเราหรือตัวตนนี้ก็เป็นกิเลสด่านแรกที่ยิ่งใหญ่ เป็นการยากที่จะละความยึดถือความเป็นเรา เพราะเรามีความยึดถือในตัวตนของเรามาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ที่ไม่เคยได้ฟังพระธรรมขั้นละเอียด (อภิธรรม)