เมื่อกายแตกดับ วิญญาณจะล่องลอย หรืออย่างไร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  22 ธ.ค. 2550
หมายเลข  6615
อ่าน  5,492

เมื่อจุติจิตดับ สิ้นสุดความเป็นบุคคลในชาติก่อน ปฏิสนธิจิตชาตินี้ก็เกิดสืบต่อจากจุติจิตชาติก่อนทำให้เป็นบุคคลใหม่ทันที ปฏิสนธิจิตเป็นวิบาก คือผลของกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วในสังสารวัฏฏ์ กรรมนั้นเป็นชนกกรรม คือเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิและกรรมชรูป (รูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย) เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะปฏิสนธิจิตเกิด

ด้วยเหตุนี้ แต่ละคนจึงต่างกันทั้งในรูปร่างและลักษณะ อุปนิสัยใจคอ ความคิดนึกตามการสะสมของจิต บางคนก็มีโลภะมาก บางคนก็มีโทสะมาก เมื่อปฏิสนธิจิตสืบต่อจากจุติจิตนั้น ไม่ได้นำจิตของชาติก่อนตามมาด้วย ไม่ได้นำรูปของชาติก่อนตามมาด้วย เพราะจิต เจตสิก รูปใดดับไปแล้วก็ดับหมดสิ้นไปเลย แต่การดับไปของจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตชาตินี้ เกิดขึ้นพร้อมกับรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ เมื่อจุติจิตในชาตินี้เกิดขึ้นและดับไปแล้ว กรรมหนึ่งก็ทำให้ปฏิสนธิจิตและกัมมชรูปเกิดต่อเป็นบุคคลใหม่ในชาติต่อไป สิ้นสภาพความเป็นบุคคลในชาตินี้โดยสิ้นเชิง


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ckitipor
วันที่ 10 ก.พ. 2551

จุติจิต

จุติ (เคลื่อน ตาย) + จิตฺต (จิต)

จิตที่ทำกิจเคลื่อนจากภพ หมายถึง วิบากจิต ๑๙ ดวง ดวงใดดวงหนึ่ง ในขณะที่ทำจุติกิจ เป็นการแสดงถึงความสิ้นสุดของกรรมที่ทำให้เป็นบุคคลนั้น ที่สามารถบัญญัติได้ว่า คนตาย สัตว์ตาย ก็เพราะมีจุติจิตเกิดขึ้นทำจุติกิจ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ckitipor
วันที่ 10 ก.พ. 2551

จุติจิตจะเกิดเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท

ควรศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ

พระพุทธวจนะในพระไตรปิฎก โดยสภาพแห่งธรรมแล้ว เป็นสัจธรรมที่ทรงแสดงว่าเป็นธรรมที่ลึกซึ้งรู้ได้ยาก รู้ตามเห็นตามได้ยาก สงบประณีต ไม่อาจจะรู้ได้ด้วยการตรึกละเอียด เป็นธรรมอันบัณฑิตจะรู้ได้ เพราะสภาวะแห่งธรรมมีลักษณะดังกล่าว จึงจำต้องชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ ทั้งโดยอรรถะและพยัญชนะ เพื่อให้สามารถหยั่งรู้ธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงในเรื่องนั้นๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ckitipor
วันที่ 10 ก.พ. 2551

ธรรมะไม่ใช้เรื่องที่ใครจะคิดเอาเอง แต่เป็นการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าทราบว่าจุติจิตอาจเกิดเดี๋ยวนี้ก็ได้ ก็ไม่พึงประมาทในพระธรรม

ธรรมที่ได้ฟังหรืออ่านทั้ง ๓ ปิฎก รวมทั้งอรรกถาและฎีกา ก็เพื่อให้ปัญญาเกิดขึ้นรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปรกติตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะฟังมาก เรียนมาก สนทนาธรรมมาก ตรึกตรองธรรมมากสักเท่าไรก็เพื่อเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง ให้สติเกิดระลึกศึกษาพิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจในขณะนี้

แม้ว่าจะได้ยินได้ฟังอย่างนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่าก็จะต้องพิจารณาให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏจริงๆ ซึ่งสติจะต้องระลึกรู้ มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะศึกษาพิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาในแต่ละวันที่ผ่านไปๆ ซึ่งก็เป็นนามธรรม และรูปธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทุกขณะไม่มีอะไรเหลือเลยสักขณะเดียว ทุกคนรู้ว่า อดีตที่สนุกสนานหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นก็ดับหมดไปแล้วคงเหลืออยู่แต่ปัจจุบันขณะนี้ขณะเดียว เพียงขณะเดียวจริงๆ ซึ่งจะต้องศึกษาให้เข้าใจลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Komsan
วันที่ 10 ก.พ. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เจริญในธรรม
วันที่ 13 ก.พ. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ทิพย์
วันที่ 14 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ประสาน
วันที่ 18 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 24 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ