ดูหนัง กับ ฟังธรรม - เป็นคนที่ชอบดูหนังมาก
เมื่อก่อนเป็นคนที่ชอบดูหนังมาก เช่ามาดูวันละไม่ต่ำกว่า ๒ เรื่องต่อวัน พอได้ศึกษาพระธรรมก็เริ่มพบว่า รู้สึกอึดอัด (ด้วยความเป็นเรา) กับสิ่งที่หนังนั้นนำเสนอมาก เมื่อก่อนจะชอบหนังที่ชวนให้น่าติดตาม น่าพิสวง แต่พอเริ่มจะระลึกได้ว่า มีแต่อกุศลจิตที่เกิดทั้งนั้น ยิ่งดูเนื้อหาในหนังก็ยิ่งเกิดกิเลส เหมือนถูกชักจูงให้ไม่มีหิริ โอตตัปปะ ในการกระทำของตัวเอกที่ชาวโลกมองว่าน่าสะใจ หรือถูกใจ ซึ่งจากการฟังพระธรรม ผมกลับเห็นว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะกระทำเลย
แม้จะกำลังดูหนังฝรั่งชื่อดังที่สร้างจากหนังสือนิทานพ่อมดเรื่องหนึ่ง ก็กลับทำให้หดหู่ใจไม่ค่อยอยากจะทนดูต่ออีก เพราะยิ่งดู ก็ยิ่งทรมาน แต่โลภะก็ทำให้คิดว่า ไหนๆ ก็เช่ามาดูแล้วก็น่าจะดูให้ถึงตอนจบ กลายเป็นว่า เป็นการดูหนังที่น่าปวดหัว เพราะเหนื่อยกับอกุศล จิตไม่เบาเหมือนตอนฟังพระธรรมของท่าน อ. สุจินต์
นี้จะเป็นอานิสงส์ของการฟังพระธรรมไหมครับ ที่ทำให้เกิดความคิดอย่างนี้ขึ้นได้ แต่ในความที่ผมเป็นปุถุชน ผมก็ยังคงกลับไปติดอยู่ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ามันเป็นกามซึ่งมีโทษ จะพอมีพระธรรมใด ที่จะช่วยให้เราเริ่มคลายเรื่องพวกนี้ได้บ้างไหม ครับ
ขอขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ลืมไปอีกแล้วครับ ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ขณะที่หาวิธี ขณะนั้นก็ข้ามว่า แม้อกุศลหรือ สภาพธัมมะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นก็เป็นธรรมทั้งนั้น เมื่อเราศึกษาธรรม เริ่มเข้าใจว่า กิเลสเป็นอกุศลธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ดี เมื่อเข้าใจอย่างนี้ เมื่อกิเลสต่างๆ เกิดขึ้น ก็เกิดความเป็นตัวตนที่ไม่อยากให้กิเลสนั้นๆ เกิดเพราะรู้ว่าไม่ดี ดังนั้น การรู้ว่ากิเลสไม่ดีด้วยความเป็นเรา กับรู้ความไม่ดี (กิเลส) โดยความเป็นธัมมะจึงต่างกัน ดังนั้นอานิสงส์ของการฟังพระธรรมจึงแตกต่างกันตามระดับความเข้าใจ โดยเฉพาะในความเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมไม่ใช่เรา เห็นโทษของอกุศล เป็นอานิสงส์ของการฟังพระธรรมระดับหนึ่ง แต่เดือดร้อนเพราะอกุศลที่เกิด ไม่ใช่อานิสงส์ของการฟังพระธรรม แต่เพราะยังหลงลืมสติและยังไม่มั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ ขอให้เข้าใจว่าเป็นธรรมดา และความเดือดร้อนใจกับอกุศลก็เป็นธัมมะครับ จนกว่าจะมั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ เมื่อนั้นก็จะเบาขึ้นเพราะเกิดจากความเข้าใจ แม้ขณะดูหนังหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ครับ หากแต่ว่าถ้ารู้ว่าสิ่งใดทำให้เดือดร้อนใจมาก เพราะเรายังไม่มั่นคงก็เสพในสิ่งที่ควรเสพ อันทำให้กุศลเจริญครับ ขอให้เป็นผู้มีปรกติอบรมเจริญปัญญา (สติปัฏฐาน)
ขออนุโมทนาครับ
ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนและยังอยู่ในเพศคฤหัส เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะประสบกับสิ่งที่ควรเสพบ้าง ไม่ควรเสพบ้าง คบหากับผู้ที่ควรคบบ้าง ผู้ที่ไม่ควรคบบ้าง และทำกิจอันควรบ้าง กิจอันไม่ควรบ้าง ความเข้าใจขั้นการฟังที่ยังไม่มั่นคงพออาจทำให้รู้สึกอึดอัด นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน เพราะหากขาดการพิจารณาโดยแยบคายแล้ว กุศลก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลได้ ขอให้ฟังพระธรรมต่อไปด้วยความตั้งใจและพิจารณา รวมทั้ง สอบทานกับท่านผู้รู้และพระไตรปิฎก เมื่อความเข้าใจมั่นคงขึ้น ความอึดอัดทั้งหลายจะละคลายลง และจะเห็นธรรมเป็นธรรมในชีวิตประจำวันตามปรกติด้วยปัญญา
ขออนุโมทนาในคำตอบของทั้งสองท่านครับ จะว่าไป ปุถุชนหลงลืมสติบ่อยจริงๆ แล้วก็เดือดร้อนด้วยความเป็นเราอยู่เรื่อยเลย ลืมตลอดว่าเป็นธรรมะ เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม แล้วก็มักจะมีคำถามด้วยความมีตัวตนผุดขึ้นมาอีกว่า "แล้วจะทำยังไงให้ เป็นธรรมะ" แล้วก็จะได้รับคำตอบว่า "ถ้ายังไม่มั่นคงในธรรมะ ก็ยังจะต้องฟังต่อไป" แสดงว่า กว่าที่จะปัญญาจะมีกำลังจนเห็นว่าเป็น "ธรรมะ" โดยสติปัฏฐานเกิด ต้องผ่านการสั่งสมกลั่นกรองความเข้มข้นทีละนิดๆ จริงๆ โดยระยะเวลาที่นานอย่างมาก ถ้าจะเปรียบเทียบก็คงจะคล้ายกับ "ไข่มุก" ซึ่งกว่าที่จะได้ไข่มุกแท้สักเม็ดหนึ่ง ก็อาศัยเวลาหลายปี แต่ "ปัญญา" เป็นนามธรรม เราก็คงจะประมาณความยากและยาวนานของปัญญาที่เจริญแล้วไม่ได้ ผมคิดว่าต้องไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียวแน่ๆ แต่คงจะรู้ได้เมื่อเป็นพระอรหันต์เพราะเห็นการสั่งสมปัญญาเป็นหมื่นเป็นแสนกัปป์ ใช่ไหมครับ
สิ่งใดทำแล้วกุศลเจริญ ก็ควรทำสิ่งนั้น แต่ถ้าสิ่งใดทำแล้วอกุศลเจริญ ก็ควรงดสิ่งนั้นค่ะ
เป็นธรรมดาของการที่ยังมีเราค่ะ จึงมักที่อยากจะเลือก และมีความพอใจแต่เฉพาะสภาพธรรมที่เป็นกุศล ทั้งที่โดยความเป็นจริงสภาพธรรมที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นบ่อยมากกว่า แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ความเป็นเราก็มักจะเลือกที่จะไม่ชอบและกำจัดมันไปแทนการที่จะเรียนรู้สภาพธรรมนั้น เข้าใจ และละในกาลต่อไป
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือการฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์