ขัคควิสาณสูตร .. ข้อคิดจากกำไลมือ

 
wannee.s
วันที่  28 ธ.ค. 2550
หมายเลข  6717
อ่าน  1,957

[เล่มที่ 46] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 177

ข้อความบางตอนจาก...

อรรถกถา ขัคควิสาณสูตร

พระเจ้ากรุงพาราณสี พระองค์หนึ่ง เสร็จเข้าที่บรรทมในกลางวัน ในคิมหสมัย และในพระราชสำนักของพระองค์ นางวรรณทาสีกำลังบด จันทร์เหลืองอยู่ ในแขนข้างหนึ่งของนาง มีกำไลทองหนึ่งวง ในแขนอีกข้างหนึ่ง มีกำไลทองสองวง กระทบกัน กำไลทองหนึ่งวงนอกนี้ไม่กระทบ พระราชาทรงเห็นเหตุนั้นแล้ว จึงทรงแลดูนางทาสีบ่อยๆ พลางทรงพระราชดำริว่า ในการอยู่เป็นหมู่ย่อมมีการกระทบกัน ในการอยู่คนเดียว ย่อมไม่มี การกระทบ เหมือนอย่างนั้นแล.

โดยสมัยนั้น พระเทวีผู้ทรงประดับประดาด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ์ ประทับยืนถวายงานพัดอยู่ พระนางทรงดำริว่า พระราชาชะรอยจะมี พระหทัยปฏิพัทธ์ในนางวรรณทาสี ทรงให้นางทาสีนั้นลุกออกไป ทรงปรารภเพื่อจะทรงบดด้วยพระองค์เอง ในพระพาหาทั้งสองข้างของพระนางมีกำไลทอง หลายวงกระทบกันเกิดเสียงดังมาก พระราชาทรงเอือมระอายิ่งขึ้น ทั้งที่บรรทม ด้วยปรัศว์เบื้องขวา ทรงปรารภวิปัสสนา ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระปัจเจกโพธิญาณ พระเทวีทรงถือจันทน์ เสด็จเข้าเฝ้าพระราชาพระองค์นั้น ซึ่งบรรทม เป็นสุข ด้วยความสุขอันยอดเยี่ยม ทูลว่า มหาราช หม่อมฉันจะไล้ทา พระราชตรัสว่า ออกไป อย่าไล้ทา พระนางทูลว่า อะไร มหาราช

พระราชา ตรัสว่า เราไม่ใช่ราชา อำมาตย์ทั้งหลายฟังการสนทนานั้น ของพระราชา และพระเทวีนั้น อย่างนั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระราชาผู้อันอำมาตย์เหล่านั้น ทูลเรียกด้วยวาทะว่า มหาราช จึงตรัสว่า แน่ะพนาย เราไม่ใช่ราชา

บทที่เหลือเป็นเช่นกับ คำที่กล่าวแล้ว ในคาถาต้นนั้นแล. ส่วนคาถาวัณณนามี ดังนี้ว่า บุคคลแลดูกำไลทองสองอันงามผุดผ่องที่บุตรแห่งนายช่างทองให้สำเร็จด้วยดี แล้ว กระทบกันอยู่ในข้อมือ พึงเที่ยวไป ผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ทิสฺวา ได้แก่ แลดูแล้ว.

บทว่า สุวณฺณสฺส ได้แก่ ทองคำ.

บาลีที่เหลือว่า วลฺยานิ เป็นคำที่นำมาเพิ่มเข้า เพราะอรรถ ของคำที่เหลือ มีเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน.

บทว่า ปภสฺสรานิ ได้แก่ อันแพรวพราวเป็นปกติ อธิบายว่า มีแสงรุ่งเรือง.

บทที่เหลือเป็นบทมีอรรถ ตื้นทั้งนั้น

ส่วนโยชนาดังนี้ว่า เราแลดูกำไรทองกระทบกันอยู่ในข้อมือ จึงคิดว่า เมื่อมีการอยู่เป็นหมู่ ย่อมมีการกระทบกัน เมื่อมีการอยู่คนเดียว หากระทบ กันไม่ จึงปรารภวิปัสสนา ได้บรรลุแล้ว.

บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พุทธรักษา
วันที่ 28 ธ.ค. 2550

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pornpaon
วันที่ 28 ธ.ค. 2550
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jurairat
วันที่ 28 ธ.ค. 2550

ขออนุโมทนาด้วยเช่นกันค่ะ การอยู่เป็นหมู่คณะย่อมเป็นเหตุให้มีโอกาสกระทบกระทั่งกันจริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 28 ธ.ค. 2550

เหตุไรๆ ที่เกิดขึ้นนับเป็นคุณของผู้มีความเพียรที่จะถือเป็นโอกาสในการอบรมเจริญปัญญา ขันติ และเมตตาบารมีให้เจริญขึ้น เมื่อไม่มีเหตุย่อมไม่อาจทราบได้ในผลของการอบรม ดังกล่าว เหตุการณ์ต่างๆ จึงเป็นเสมือนบททดสอบและโอกาสในการอบรมฯไปในตัว

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
saifon.p
วันที่ 28 ธ.ค. 2550
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Komsan
วันที่ 29 ธ.ค. 2550
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
suwit02
วันที่ 2 มี.ค. 2551
สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nopwong
วันที่ 28 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ธ.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ