คนพาลเห็นโลกนี้เป็นปกติ
ข้อความใน อรรถกถา มหานิบาต มโหสถชาดกที่ ๕
มโหสถทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า... "คนพาลเห็นโลกนี้เป็นปกติ ไม่เห็นโลกหน้าเป็นปกติ" เพียงข้อความสั้นๆ นี้ แต่ก็เป็นชีวิตประจำวันของทุกๆ คนที่โลภ ต้องการสิ่งใดในชีวิตประจำวัน ก็เพราะเห็นความสำคัญในโลกนี้เท่านั้น ต้องการลาภ ต้องการยศต้องการสรรเสริญ ต้องการสักการะ แต่สิ่งเหล่านี้จะติดตามไปถึงโลกหน้าได้ไหม ลาภ ยศ และสรรเสริญ ที่ปราถนากันในชาตินี้ ไม่สามารถจะติดตามไปชาติหน้าได้เลย แต่ที่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ เพราะคนพาลเห็นโลกนี้เป็นปกติ คือคิดถึงเฉพาะโลกนี้ที่กำลังเป็นอยู่เท่านั้น จนกระทั่งสามารถกระทำทุจริตต่างๆ ด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เพราะไม่เห็นโลกหน้าเป็นปกติ อกุศลแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็น "ปกตูปนิสสยปัจจัย" ที่จะทำให้เกิดอกุศลจิตนั้นๆ ในอนาคตข้างหน้า แม้โลภมูลจิตที่เกิดเพียงชั่วขณะเดียว ก็เป็น "อุปนิสสยปัจจัย" ที่จะให้เกิดโลภมูลจิตข้างหน้าอีก
ผู้ฟัง อย่างที่อาจารย์กล่าวว่า คนส่วนมากมักจะติดในลาภยศ สรรเสริญ ในคำพูดอันเป็นที่น่ายินดีน่าพอใจ แต่เท่าที่สังเกตดูในปัจจุบันนี้ รู้สึกว่าเราจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นอย่างนั้น
สุ. ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนี้ ทุกชาติมาแล้ว และชาติต่อไปด้วยก็จะกล่าวว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมของลาภ ยศ สรรเสริญ อีก
ผู้ฟัง เมื่อกี้อาจารย์กล่าวว่า คนพาลเห็นชาตินี้เป็นปกติ และบัณฑิตเห็นอย่างไร
สุ. บัณฑิตนั้นคำนึงถึงชาติต่อไปและโลกหน้าด้วย ไม่ใช่แค่เฉพาะชาตินี้ เช่น โลภมูลจิตที่ติดในลาภ สรรเสริญ ยศ สักการะ ผู้ที่เป็นบัณฑิตก็จะคิดว่า ถ้าไม่รีบละเสียตั้งแต่ในชาตินี้ ชาติต่อไปจะละยากสักแค่ไหน แต่ถ้าเป็นคนพาล ได้ลาภเท่าไหร่ก็ไม่พอ ต้องทำทุจริตกรรมเพื่อให้ได้ลาภเพิ่มขึ้นอีก แต่ว่าสำหรับบุคคลที่เป็นบัณฑิต ก็ย่อมเห็นว่าอกุศลแต่ละขณะที่เกิดขึ้น จะสะสมสืบต่อไปถึงชาติต่อๆ ไปด้วย
...จากหนังสือปัจจัยสังเขป
บัณฑิตจึงกล่าวเสมอว่า การศึกษาพระธรรมเป็นไปเพื่อการ "ละ"
ขออนุโมทนา
เพิ่งเคยได้ยินได้ฟังแต่ทำให้กระจ่างใจ น่าเสียดายเหลือเกิน มีเพื่อนคนหนึ่งเห็น โลกนี้ว่าเป็นปกติ ไม่สนใจศึกษาพุทธ ปัจจุบันประสบอุบัติเหตุไม่สามารถเดินได้อีก ต่อไป อนุโมทนาคุณสารธรรม คุณได้ช่วยดิฉันอย่างยิ่ง
อนุโมทนาค่ะ
ท่าน อ.สุจินต์ ได้กล่าวถึงเรื่องของ "ปกตูปนิสสยปัจจัย" ในตอนหนึ่ง มีข้อความว่า ท่านผู้ฟังจะเห็นได้นะคะว่า ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน มีสัทธาในพระศาสนาหลายขั้น แต่อาศัยสัทธานั่นเอง ทำให้เกิดความยึดมั่น ความเห็นผิดต่างๆ ซึ่งไม่ตรงกับ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ที่เป็นอย่างนี้ เพราะ "ปกตูปนิสสยปัจจัย"