พระภิกษุกล่าวอวดว่าเข้านิโรธสมาบัติไม่ปาราชิก
พระภิกษุ กล่าวให้ผู้รู้ความ ทราบว่าตนบรรลุปฐมฌาน (ทั้งที่ตนไม่บรรลุ) ต้องอาบัติปาราชิกแต่เหตุใด พระภิกษุกล่าวว่า ตนเข้านิโรธสมาบัติ (ทั้งที่ตนไม่ได้เข้า-หรือเข้า ไม่ได้) ไม่ต้องอาบัติ ปาราชิก ครับ
ขอเชิญอ่านข้อความจากอรรถกถพระวินัยครับ
[เล่มที่ 2] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๖๓๒
ส่วนในสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุกล่าวแม้ด้วยความไม่แปลกกันว่า ข้าพเจ้า เป็นผู้ได้บรรลุอัตถปฏิสัมภิทาก็เป็นปาราชิก แม้ในกุรุนที ท่านก็กล่าวว่า ย่อมไม่พ้น แค่ในมหาอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่าปาราชิก ย่อมไม่มีด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อาบัติยังไม่ถึงที่สุดด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ใครๆ ไม่อาจทำอรรถกถาอื่นให้เป็นประมาณได้ เพราะท่านได้วิจารณ์ไว้แล้ว ว่าภิกษุยังไม่ต้องปาราชิก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ แม้เมื่อภิกษุกล่าวว่า ข้าพเจ้าเข้านิโรธสมาบัติหรือว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้นิโรธสมาบัตินั้น ก็ไม่เป็นปาราชิก เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า นิโรธสมาบัติไม่ใช่โลกิยะ ทั้งไม่ใช่โลกุตระ ฉะนั้นแล
ในมหาปัจจรีและสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า ก็ถ้าบุคคลนั้นมีความรำพึงอย่างนี้ว่า พระอนาคามีหรือพระขีณาสพย่อมเข้านิโรธได้ จึงพยากรณ์ด้วยทำไว้ในใจว่า ชนจักรู้เราว่าเป็นผู้ใดผู้หนึ่ง แห่งบรรดาพระอนาคามี และพระขีณาสพเหล่านั้น และเขาก็เข้าใจเธออย่างนั้น เป็นปาราชิก คำนั้น ควรพิจารณาเสียก่อนจึงถือเอา แม้เมื่อภิกษุกล่าวว่า ในภพที่ล่วงไปแล้วคือ ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นพระโสดาบัน ไม่เป็นปาราชิก จริงอยู่อาบัติยังไม่ถึงที่สุด เพราะเธออ้างถึงขันธ์ที่ล่วงไปแล้วแล
ส่วนในสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า บางอาจารย์กล่าวว่า เมื่อภิกษุ กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้สมาบัติ ๘ ในอดีต ไม่เป็นปาราชิกเพราะ สมาบัติ ๘ ในอดีตเป็นกุปธรรม แต่เมื่อกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติได้สมาบัติ ๘ ในภพนี้ ดังนี้ ย่อมเป็นปาราชิก เพราะสมาบัติ ๘ ในภพนี้ เป็นอกุปธรรม แม้คำ ที่กล่าวไว้ในสังเขปอรรถกถานั้น ท่านก็ค้านไว้ในสังเขปอรรถกถานั้นนั่นเอง เมื่อภิกษุกล่าวหมายเอาอัตภาพในอดีต ไม่เป็นปาราชิก ต่อเมื่อกล่าวหมายเอาอัตภาพในปัจจุบันนั่นแหละ จึงเป็น