ภิกษุขโมยกลิ่นปทุม [ปทุมปุปผสูตร]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 380
๑๔. ปทุมปุปผสูตร
ว่าด้วยภิกษุขโมยกลิ่นปทุม
[๗๙๕] สมัยหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งใน
แคว้นโกศล สมัยนั้นแล ภิกษุนั้นกลับจากบิณฑบาตภายหลังเวลาฉัน ลงสู่
สระโบกขรณีแล้วสูดดมดอกปทุม.
[๗๙๖] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น มีความเอ็นดู ใคร่
ประโยชน์แก่ภิกษุนั้น หวังจะไห้เธอสลด จึงเข้าไปหาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้
กล่าวกะเธอด้วยคาถาว่า
ท่านสูดดมดอกไม้ที่เกิดในน้ำซึ่ง
ใครๆ ไม่ได้ให้แล้ว นี้เป็นองค์อันหนึ่ง
แห่งความเป็นขโมย ท่านผู้นิรทุกข์ ท่าน
เป็นผู้ขโมยกลิ่น.
[๗๙๗] ภิกษุกล่าวว่า
เราไม่ได้นำไป เราไม่ได้หัก เรา
ดมดอกไม้ที่เกิดในน้ำห่างๆ เมื่อเป็น
เช่นนี้ ท่านจะเรียกว่าเป็นผู้ขโมยกลิ่นด้วย
เหตุดังรือ ส่วนบุคคลที่ขุดเหง้าบัว หักดอก
บัวบุณฑริก เป็นผู้มีการงานอันเกลื่อนกล่น
อย่างนี้ ไฉนท่านจึงไม่เรียกเขาว่าเป็น
ขโมย.
[๗๙๘] เทวดากล่าวว่า
บุรุษผู้มีบาปหนา แปดเปื้อนด้วย
ราคาทิกิเลสเกินเหตุ เราไม่พูดถึงคนนั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 381
แต่เราควรจะกล่าวกะท่าน บาปประมาณ
เท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏประดุจ
เท่าก่อนเมฆในนภากาศแก่บุรุษผู้ไม่มีกิเลส
ดังว่าเนิน ผู้มักแสวงหาไตรสิกขาอัน
สะอาดเป็นนิจ.
[๗๙๙] ภิกษุกล่าวว่า
ดูก่อนเทวดา ท่านรู้จักเราแน่ละ
และท่านเอ็นดูเรา ดูก่อนเทวดา ท่านเห็น
ธรรมเช่นนี้ในกาลใด ท่านพึงกล่าวอีก
[ในกาลนั้น] เถิด.
[๘๐๐] เทวดากล่าวว่า
เราไม่ได้อาศัยท่านเป็นอยู่เลย และ
เราไม่ได้มีความเจริญเพราะท่าน ดูก่อน
ภิกษุ ท่านพึงไปสุคติได้ด้วยกรรมที่ท่าน
พึงรู้.
ลำดับนั้นแล ภิกษุนั้นเป็นผู้อันเทวดานั้นให้สลด ถึงซึ่งความสังเวช
แล้วแล.
จบปทุมปุปผสูตร
วนสังยุต จบบริบูรณ์
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 382
อรรถกถาปทุมปุปผสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปทุมปุปผสูตร ที่ ๑๔ ต่อไปนี้ :-
บทว่า อชฺฌภาสิ ความว่า เทวดานั้นเห็นภิกษุนั้นจับก้านดอกบัว
น้อมมา (ดม) จึงคิดว่า ภิกษุนี้ เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้ว
เข้าป่า เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม จะพิจารณาเอากลิ่นเป็นอารมณ์ ภิกษุนี้นั้นวัน
นี้ ดมกลิ่นแล้ว แม้ในวันพรุ่งนี้ แม้ในวันมะรืนนี้ก็จักดมกลิ่น ตัณหาในกลิ่น
นั้นของภิกษุนั้น เพิ่มพูนขึ้นแล้ว จักยังประโยชน์ในชาตินี้และในชาติหน้าให้
พินาศ เมื่อเราเห็นอยู่ ภิกษุนี้อย่าพินาศเลย เราจักเตือนท่าน ดังนี้แล้ว
จึงเข้าไปพูด.
...............................................................................
อ่านพระสูตรนี้แล้วทำให้คิดได้ว่า... การประพฤติปฏิบัติธรรมต้องมีปัญญา มีความเพียร มีการสำรวมอินทรีย์ มีหิริโอตตัปปะ อย่างละเอียดมากในการแสวงหาไตรสิกขาอันสะอาดเป็นนิจแสดงว่า...การอ่านพระไตรปิฏกมีประโยชน์มากเกื้อกูลให้เกิดปัญญา และการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องและละเอียดมากเพราะพระธรรมและกิเลสก็ละเอียดมากด้วย นะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เห็นโทษของอกุศลแม้มีประมาณเล็กน้อย ขออนุโมทนาครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 2
บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบาปว่า บาปมีประมาณ
น้อยจักไม่มาถึง แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตก
ลง (ทีละหยาดๆ ) ได้ฉันใด ชนพาลเมื่อสั่งสมบาป
แม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบาปได้ฉันนั้น. ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่ ..เมื่อสั่งสมบาป แม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบาปได้ฉันนั้น