ช่วยอ่านสักนิด นึกว่าเอาบุญ
ผมเป็นคนชอบทำทานมากกว่าทำบุญ โดยเพราะเห็นคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากแล้ว บังเกิดความเมตตาสงสารจับใจ อยากให้เขาได้พ้นทุกข์ถึงแม้จะแค่ระยะหนึ่งก็ยังดี ส่วนการทำบุญ กับพระสงฆ์ก็ดี หรือทำบุญด้วยการบริจาคทำนุ บำรุงพระศาสนาก็ดี ผมก็ทำ แต่ความรู้สึกกลับเฉยๆ รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ที่ทำเหมือนสมองสั่ง หรือความคิดสั่งว่าควรทำ แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนในยุคเก่าๆ ที่น้อมนำความรู้สึกได้ดี อาจเป็นเพราะในยุคเก่า ยังไม่มีเครื่องล่อใจมาก จิตจึง มุ่งสู่พระได้มากกว่า การที่ผมทำบุญแบบนั้น ผลบุญที่ได้รับจะน้อยลงกว่าคน ที่เขาทำความรู้สึกยินดีมากน้อยเพียงใด ผมเพียงรู้ว่า เมื่อมีโอกาสก็ จักทำทุกครั้ง โดยไม่ขัดขืนใจแต่อย่างใด เพียงแต่ทำความรู้สึกให้เอิบอิ่มไม่ได้ มันเฉยๆ แต่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี แม้ผมจะทำกับพระที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบก็ตาม ผมรู้ตัวเองดีว่าควรทำ แต่เหมือนกับจิตใจทำไม มันนิ่งๆ แต่ไม่ใช่คนเฉยชากับการทำบุญ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ใครทราบช่วยเมตตาตอบด้วยครับ หรืออาจเป็นเพราะชีวิตผม ผ่านเรื่องเจ็บปวดมามาก เลยด้านชา หนักไปทางขี้สงสารคนมากกว่า ส่วนการทำบุญ ถ้าเป็นวัดกันดาร หรือพระที่อยู่ด้วยความลำบาก ผมกลับจะมีความอยากทำมาก
การทำบุญ อยู่ที่เจตนาจริงๆ นะคะ แม้มีน้อยก็ยังให้ได้ ก็อาจจะเป็นเจตนาที่ยิ่งใหญ่กว่าการสร้างเสาวัดก็ได้
ทุกอย่างเป็นไปตามการสะสมครับ บางคนสะสมมาที่จะช่วยเหลือให้ทานกับสัตว์ บางคนก็กับพระ แล้วแต่การสะสมมาจริงๆ ต่างกันไปตามการสะสมมาครับ
กุศลเจตนา ขัดเกลากิเลสของตน เจริญกุศลจิตเมตตากรุณา ผิวพรรณผ่องใส ไฟ ศาสตรา ยาพิษมิได้กล่ำกลาย กุศลตามเสริมตามส่งก็รู้ เคราะห์กรรม วิบาก ก็ รู้ ศรัทธาผู้มีศีล จิตเลื่อมใส ทนุบำรุงสงฆ์ กุศลจิตเกิดแล้วถนอมไว้ รักษาไว้ได้นานก็รู้ หายไปแล้วก็รู้ กลับมาอีกก็รู้ ปิติก็รู้ ไม่ปิติก็รู้ สะสมมาแล้วมากมาย หลายชาติ ขอจงเจริญในธรรมเถิด
สมัยก่อน ก็คิดเช่นเดียวกับคุณศุภกรณ์ คือมีความรู้สึกว่าถ้าได้ช่วยคนที่กำลังตก ทุกข์ จิตใจจะอิ่มเอม มีความสุขมากเลย ดิฉันเคยซื้อนกเอี้ยงที่คนนำมาเดินเร่ ขาย หมดทั้งกรงประมาณ ๕ ตัว แล้วก็ปล่อยไป ดิฉันเห็นกิริยาท่าทางที่นกบินออกจากกรงไป และส่งเสียงเหมือนดีใจที่ได้อิสระภาพ ดิฉันจะใส่บาตรเกือบทุกวัน แรกๆ ก็จิตใจเบิกบาน แต่พอทำต่อเนื่องเป็นปกติวิสัย จิตกับไม่มีเบิกบานเลย จิตเป็นปกติ ไม่ขึ้นไม่ลง ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
ไม่มีใครมีอำนาจบังคับบัญชาความรู้สึกในแต่ละขณะจิตให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ครับ แต่ควรเข้าใจให้ถูกต้องว่าเวทนาเจตสิกเป็นธรรมะ ไม่ใช่เราครับ
ขณะที่จิตเป็นไปในการให้ ไม่ว่าให้กับใคร เป็นสิ่งที่ดีงามน่าอนุโมทนา ถีงแม้ว่าไม่เกิดโสมนัสเวทนา แต่ก็เป็นบุญแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปติดข้องในบุญมากบุญน้อย โสมนัสหรืออุเบกขา ปัญญาทำให้ไม่หวั่นไหวในการ กระทำใดๆ รู้ตามความเป็นจริงดีแล้วก็พอแล้ว ต้องการอะไรมากกว่านั้น แม้พระเจ้าจักรพรรดิ์มีสมบัติและดินแดนมากมาย ก็ยังไม่รู้จักพอเพราะไม่รู้จักโลภะตามความเป็นจริง ขออนุโมทนาในกุศลจิตที่ อบรมมาแล้ว