พระนันทะกับนางอัปสร [นันทสูตร]

 
pirmsombat
วันที่  22 ม.ค. 2551
หมายเลข  7094
อ่าน  3,410

๒. นันทสูตร ว่าด้วยเรื่องบอกคืนสิกขาลาเพศ [๖๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่าน พระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรสของพระมาตุจฉา ได้ บอกแก่ภิกษุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่ยินดี ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่สามารถจะทรงพรหมจรรย์อยู่ได้ ผมจะบอกคืน สิกขาลาเพศ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ ประทับถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระนันทะพระภาดา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรสของพระมาตุจฉา ได้บอกแก่ภิกษุเป็นอัน มากอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ไม่สามารถจะทรงพรหมจรรย์ ผมจะบอกคืนสิกขาลาเพศ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า มาเถิดภิกษุ เธอจงเรียก นันทภิกษุมาตามคำของเราว่า ดูก่อนท่านนันทะ พระศาสดารับสั่งให้หา ท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเข้าไปหาท่านพระนันทะถึงที่ อยู่ ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระนันทะว่า ดูก่อนท่านนันทะ พระ- ศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระนันทะรับคำภิกษุนั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระ- ผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระนันทะว่า ดูก่อนนันทะ ได้ยินว่า เธอได้บอกแก่ภิกษุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผม ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ฯ ล ฯ ผมจักบอกคืนสิกขาลาเพศ ดังนี้ จริง หรือ ท่านพระนันทะกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า. พ. ดูก่อนนันทะ ท่านไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จักไม่ สามารถทรงพรหมจรรย์ไว้ได้ จักบอกคืนสิกขาลาเพศเพื่อเหตุไรเล่า. น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ออกจากเรือน นางสากิยานีชนบทกัลยาณีมีผมอันสางไว้กึ่งหนึ่งแลดูแล้ว ได้กล่าวกะข้า- พระองค์ว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ขอพระลูกเจ้าพึงด่วนเสด็จกลับมา ข้า- พระองค์ระลึกถึงคำของนางนั้น จึงไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ สามารถจะทรงพรหมจรรย์ไว้ได้ จักบอกคืนสิกขาลาเพศ. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้วทรงหายจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น. [๖๘] ก็สมัยนั้นแล นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ มีเท้าดุจ นกพิราบมาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะจอมเทพ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค เจ้าตรัสกะท่านพระนันทะว่า ดูก่อนนันทะ เธอเห็นนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านี้ ผู้มีเท้าดุจนกพิราบหรือไม่ ท่านพระนันทะทูลรับว่า เห็น พระเจ้าข้า. พ. ดูก่อนนันทะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน นางสา- กิยานี ผู้ชนบทกัลยาณี หรือนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ซึ่งมีเท้าดุจ นกพิราบ ไหนหนอมีรูปงามกว่า น่าดูกว่า หรือน่าเลื่อมใสกว่า. น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางลิง ตัวมีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟ ไหม้หูและจมูกขาด ฉันใด นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยาณีก็ฉันนั้นแล เมื่อ เทียบกับนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ย่อมไม่เข้าถึงเพียงหนึ่งเสี้ยว ไม่เข้าถึงเพียงส่วนหนึ่งของเสี้ยว ไม่เข้าถึงเพียงการเอาเข้าไปเปรียบว่า หญิงนี้เป็นเช่นนั้น ที่แท้นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้มีรูปงามกว่า น่าดู กว่า และน่าเลื่อมใสกว่าพระเจ้าข้า. พ. ยินดีเถิดนันทะ อภิรมย์เถิดนันทะ เราเป็นผู้รับรองเธอ เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ. น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับรอง ข้าพระองค์เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาร ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไซร้ ข้าพระองค์จักยินดีประพฤติพรหมจรรย์ พระเจ้าข้า. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้วทรงหายจากเทวดาชั้นดาวดึงส์ ไปปรากฏที่พระวิหารเชตวัน เหมือน บุรุษมีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย ได้สดับข่าวว่า ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรส ของพระมาตุจฉา ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุแห่งนางอัปสร ได้ยิน ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ. [๖๙] ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสหายของท่านพระนันทะ ย่อมร้องเรียกท่านพระนันทะด้วยวาทะว่าเป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าผู้อัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มาว่า ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นลูกจ้าง ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มา ท่าน ประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางอัปสร ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสร ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ. ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทะอึดอัด ระอา เกลียดชังด้วยวาทะว่า เป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มาของ พวกภิกษุผู้เป็นสหาย จึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความ เพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ นั้นด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระนันทะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวน พระอรหันต์ทั้งหลาย.
....... ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาจึง สถาปนาท่านพระนันทะนั้น ไว้ในเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเรา ผู้ คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ท่านนันทะเป็นเลิศ (พระภาดา คือโอรสร่วมบิดาเดียวกันกับพระผู้มีพระภาคเจ้า พระมาตุจฉา คือ พระน้านาง นามว่า มหาปชาบดีโคตมี)


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เจริญในธรรม
วันที่ 23 ม.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 23 ม.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pornpaon
วันที่ 24 ม.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
devout
วันที่ 25 ม.ค. 2551

"...นางลิงตัวมีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้ หูและจมูกขาด..."

จะจำเอาไว้เตือนตัวเองค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pirmsombat
วันที่ 25 ม.ค. 2551

พระสูตรนี้ สอนบุรุษดีจริงๆ เกี่ยวกับมาตุคาม สอนมาตุคามก็ดีมาก นะครับ

ขออนุโมทนา ทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 25 ม.ค. 2551

ขออนุโมทนาในความวิริยะอุตสาหะ ของคุณ pirmsombat ที่ยกพระสูตร ซึ่งเป็นธรรมะ

เตือนใจดีๆ มาให้ศึกษาร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ขอร่วมอนุโมทนาด้วยอีกคนนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ajarnkruo
วันที่ 26 ม.ค. 2551

ขออภัยนะครับผมไม่ได้มีเจตนาคิดลบหลู่มาตุคาม แต่ผมสงสัยคำว่า "หูและจมูก

ขาด" ก็เลยลองไปหาอ่านดูในอรรถกถา เชิญอ่านข้อความบางตอนในอรรถกถาครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 292
..........พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงสดับคำของพระนันทะนั้นแล้ว ทรง พระดำริจะระงับราคะของพระนันทะด้วยอุบาย เมื่อจะนำพระนันทะนั้น ไปยังภพดาวดึงส์ด้วยกำลังฤทธิ์ จึงทรงแสดงนางลิงลุ่นตัวหนึ่ง ตัวมีหู จมูกและหางขาด นั่งอยู่บนตอที่ถูกไฟไหม้ ในนาที่ถูกไฟไหม้แห่งหนึ่ง ในระหว่างทาง ทรงนำไปสู่ภพดาวดึงส์. แต่ในพระบาลี พระศาสดาตรัส เหมือนไปยังภพดาวดึงส์โดยครู่เดียวเท่านั้น ไม่ตรัสการไปอันนั้น ตรัส หมายเอาภพดาวดึงส์. จริงอยู่ พระศาสดาเมื่อเสด็จไปนั่นแหละ ทรง แสดงนางลิงลุ่นตัวนั้นแก่ท่านพระนันทะในระหว่างทาง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 294 บทว่า ปลุฏฺฐมกฺกฏี ได้แก่ นางลิงตัวมีอวัยวะเหมือนถูกไฟไหม้.
บทว่า เอวเมวโข ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางลิงลุ่นซึ่งมีหูและ จมูกขาด ที่พระองค์ทรงแสดงแก่ข้าพระองค์นั้น เทียบกับนางชนบทกัล- ยาณีฉันใด นางชนบทกัลยาณีเทียบกับนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านี้ ก็ฉันนั้น เหมือนกัน.
บทว่า ปญฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถทุติยาวิภัตติ ความว่า ซึ่งนางอัปสร ๕๐๐. อีกอย่างหนึ่ง
บทว่า ปญฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถที่เชื่อมกับ อวัยวะ. ด้วยคำนั้นมีอธิบายว่า เทียบรูปสมบัติของนางอัปสร ๕๐๐.
ก็บทว่า อุปนิธาย ได้แก่ ตั้งอยู่ในที่ใกล้กัน อธิบายว่า เทียบเคียงกัน. บทว่า สงฺขฺยํ ได้แก่ การนับหรือเสี้ยวว่า หญิง. บทว่า กลภาคํ แปลว่า ส่วนแห่งเสี้ยว. เมื่อแบ่งส่วนหนึ่งให้เป็น ๑๖ ส่วน แล้วถือเอาส่วนเดียวจาก ๑๖ ส่วนนั้น แล้วนับโดย ๑๖ ส่วน, ใน ๑๖ ส่วน นั้น แต่ละส่วนท่านประสงค์เอาว่าส่วนแห่งเสี้ยว. ท่านกล่าวว่า ไม่เข้าถึง ส่วนแห่งเสี้ยวแม้นั้น.
บทว่า อุปนิธึ ได้แก่ แม้วางไว้ในที่ใกล้กัน โดยถือเอาด้วยความเทียบ เคียงว่า หญิงนี้เหมือนกับหญิงนี้.

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ