เข้าใจธรรมแท้ หรือเข้าใจธรรมแบบเทียมๆ
ผมอยากถามว่า ผู้ศึกษาธรรมบางคนที่กล่าวอ้างกันว่าสำเร็จธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ หรือได้อภิญญา เช่น การระลึกชาติได้ จนมีผู้ศรัทธาเชื่อถือดุจผู้วิเศษ เจ้าลัทธิ หรือพระอริยบุคคลจริงๆ ไม่ ทราบว่าตามหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ได้มีการระบุไว้อย่างไร แม้แต่ตัวเราจะ ทราบได้อย่างไรว่ายังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ หลักธรรมนี้แตกต่างกับครูทั้งหกครั้งพุทธกาลอย่างไรบ้างครับ
ควรฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจ ฟังเพื่อละความไม่รู้ (อวิชชา) ฟังเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นการอบรมเจริญปัญญา (ความรู้ในสภาพธรรมตามความเป็นจริง) ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมมากขึ้น ปัญญาเจริญมากขึ้น ปัญญานั่นเองจะทำกิจของปัญญา คือละกิเลส เราไม่มีทางจะละกิเลสได้ด้วยความเป็นตัวตน เพราะความเป็นเราหรือตัวตน นี้ก็เป็นกิเลสด่านแรกที่ยิ่งใหญ่ เป็นการยากที่จะละความยึดถือความเป็นเรา เพราะเรามีความยึดถือในตัวตนของเรามาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ที่ไม่เคยได้ฟังพระธรรมขั้นละเอียด (อภิธรรม)
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สภาพธรรมอย่างหนึ่งที่รู้แจ้งตามความป็นจริงคือปัญญา หากไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ผลย่อมพูดกันได้ แต่เหตุให้เกิดผลนั้นอบรมอย่างไร จึงเป็นเรื่องของปัญญา ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าอบรมอย่างไร เช่น การระลึกชาติอบรมอย่างไร การเป็นพระอริยบุคคลอบรมอย่างไร และจะรู้ว่าถูกต้องอย่างไรก็ต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ ครับ
ส่วนที่ถามว่า แม้แต่ตัวเราจะทราบได้อย่างไรว่ายังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ หากตาบอดอยู่จะรู้ว่าสิ่งใดเป็นอย่างไรไม่ได้ เมื่อตาหายบอดแล้วจึงจะรู้ตามความเป็นจริงในสิ่งที่มีอยู่ฉันใด ถ้าไม่เข้าใจธรรมที่ถูกต้องย่อมไม่ทราบว่าเห็นผิดหรือเห็นถูก ต่อเมื่อเข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้อง แล้วจึงทราบว่าเห็นผิดหรือเห็นถูกและก็ย่อมทราบตามความเป็นจริง
ว่ามีกิเลสมาก และเต็มไปด้วยความไม่รู้ครับ ส่วนครูทั้งหกเป็นผู้ที่มีความเห็นผิดมาก ที่สำคัญตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนเราก็ยังมีโอกาสเห็นผิดอย่างนั้นได้ถ้าคบบุคคลที่เห็นผิดครับ การคบกับพระธรรมที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้เราเห็นถูกมากขึ้นและมั่นคงมากขึ้นในสิ่งที่เป็นพระธรรมที่ถูกต้องครับ ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
พระพุทธวัจนะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติอันควร ส่วนใหญ่เป็นโอวาทที่ประทานแก่ภิกษุ แต่กระนั้น คฤหัสผู้ครองเรือน ก็สามารถนำโอวาทเหล่านั้นมาเป็นข้อพิจารณาความเหมาะควรในการประพฤติตนได้เช่นกัน มีข้อความแสดงไว้ว่า ภิกษุไม่พึงแสดงคุณที่ไม่มีในตน โดยมีคำขยายความต่อไว้ว่า แม้จะมี (คุณวิเศษ) ก็ไม่พึงแสดง ข้อนี้ทำให้พิจารณาได้ว่า การอ้างคุณวิเศษของตนเป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ผู้ที่ประสงค์จะละกิเลสไม่ควรกระทำ ส่วนผู้ที่กระทำก็อาจทำให้ได้รับลาภสักการะ อันจะทำให้เกิดความยึดติดยิ่งขึ้น สำหรับมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา จะเกิดขึ้นทำกิจเป็นครั้งคราวแล้วดับไปทันที ดังนั้น คำถามจึงไม่ใช่ว่าเรามีมิจฉาทิฏฐิอยู่หรือไม่ (มีเมื่อเกิด) แต่ควรถามตัวเองว่า ดับมิจฉาทิฏฐิเป็นสมุทเฉทหรือยัง ซึ่งคำตอบคือ ตราบใดที่ยังไม่บรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล ตราบนั้น ก็ยังมิได้ดับมิจฉาทิฏฐิเป็นสมุทเฉท มิจฉาทิฏฐิยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้เมื่อปัจจัยทั้งหลายถึงพร้อม
เรียนถามว่าถ้าเราไหว้พระโดยไม่ได้จุดธูป จะถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้รึ
เปล่าคะ