ชีวิตที่มีความเห็นถูก จะคิดทำแต่สิ่งที่ดีงาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 13
ข้อความจาก...
เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง
ดังได้สดับมา วันหนึ่ง พราหมณ์นั้นออกไปแต่เช้าตรู่ ได้ยืนแลดูพวกภิกษุห่มจีวร ในที่เป็นที่ห่มจีวรของพวกภิกษุ. ก็ที่นั้นมีหญ้างอกขึ้นแล้ว. ต่อมาภิกษุรูปหนึ่งห่มจีวรอยู่ ชายจีวรเกลือกกลั้วที่หญ้า เปียกด้วยหยาดน้ำค้างแล้ว. พราหมณ์เห็นเหตุนนั้น จึงคิดว่า "เราควรทำที่นี้ให้ปราศจากหญ้า" ดังนี้ ในวันรุ่งขึ้น ถือจอบไปถากที่นั้น ได้ทำให้เป็น
ที่เช่นกับมณฑลลาน.
แม้ในวันรุ่งขึ้น เมื่อภิกษุมายังที่นั้น ห่มจีวรอยู่, พราหมณ์เห็นชายจีวรของภิกษุ รูปหนึ่ง ตกไปบนพื้นดินเกลือกกลั้วอยู่ที่ฝุ่น จึงคิดว่า "เราควรเกลี่ยทรายลงในที่นี้" ดังนี้ แล้ว ขนทรายมาเกลี่ยลง. ภายหลังวันหนึ่ง ในเวลาก่อนภัตรได้มีแดดกล้า. แม้ในกาลนั้น พราหมณ์เห็นเหงื่อ ไหลออกจากกายของพวกภิกษุผู้กำลังห่มจีวรอยู่ จึงคิดว่า "เราควรให้สร้างมณฑปในที่นี้" ดังนี้ จึงให้สร้างมณฑปแล้ว.
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ได้มีฝนพรำแต่เช้าตรู่. แม้ในกาลนั้น พราหมณ์แลดูพวกภิกษุอยู่ เห็นพวกภิกษุมีจีวรเปียก จึงคิดว่า " เราควรให้สร้างศาลา ในที่นี้" จึงให้สร้างศาลาแล้ว คิดว่า "บัดนี้ เราจักทำการฉลองศาลา" จึงนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้ภิกษุทั้งหลายนั่งทั้งภายในทั้งภายนอก ถวายทาน, ในเวลาเสร็จภัตกิจ รับบาตร พระศาสดา เพื่อประโยชน์แก่การทรงอนุโมทนา แล้วกราบทูลเรื่องนั้นทั้งหมด จำเดิม
ตั้งแต่ต้นว่า "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ยืนแลดูอยู่ในที่นี้ ในเวลาที่พวกภิกษุห่มจีวร
เห็นเหตุการณ์อย่างนี้ๆ จึงให้สร้างสิ่งนี้ๆ ขึ้น"
พระศาสดาทรงสดับคำของเขาแล้ว ตรัสว่า "ดูก่อน พราหมณ์ ธรรมดาบัณฑิต
ทั้งหลาย ทำกุศลอยู่คราวละน้อยๆ ทุกๆ ขณะ, ย่อมนำมลทินคืออกุศลของตนออก โดยลำดับทีเดียว" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
อนุปุพฺเพน เมธาวี โถก โถก ขเณ ขเณ
กมฺมาโร รชตสฺเสว นิทฺธเม มลมตฺตโน.
"ผู้มีปัญญา (ทำกุศลอยู่) คราวละน้อยๆ ทุกๆ ขณะ
โดยลำดับ พึงกำจัดมลทินของตนได้ เหมือนช่างทอง
ปัดเป่าสนิมของทอง ฉะนั้น."
แก้อรรถ (ในเรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง)
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุปุพฺเพน คือ โดยลำดับ, ผู้ประกอบด้วยปัญญา
อันรุ่งเรืองในธรรม ชื่อว่า เมธาวี. สองบทว่า ขเณ ขเณ ความว่าทำกุศลอยู่ทุกๆ โอกาส.
บาทพระคาถาว่า กมฺมาโร รชตสฺเสว ความว่า บัณฑิตทำกุศลอยู่บ่อยๆ
ชื่อว่าพึงกำจัดมลทิน คือ กิเลสมีราคะเป็นต้นของตน, ด้วยว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น
บัณฑิตย่อมเป็นผู้ชื่อว่ามีมลทินอันขจัดแล้ว คือไม่มีกิเลส เหมือนกับช่างทอง
หลอมแล้วทุบทองครั้งเดียวเท่านั้น ย่อมไม่อาจไล่สนิมออกแล้วทำเครื่องประดับ
ต่างๆ ได้ แต่เมื่อหลอมทุบบ่อยๆ จึงไล่สนิมออกได้, ภายหลังย่อมทำให้ เป็นเครื่องประดับต่างๆ หลายอย่างได้ ฉะนั้น.
ในกาลจบเทศนา พราหมณ์ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. เทศนาได้มีประโยชน์ แม้แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.
ขออนุโมทนาค่ะ พระสูตรนี้มีประโยชน์มากจริงๆ ค่ะ ถ้าทุกคนเพียรทำความดีบ่อยๆ เนืองๆ ก็เป็นการสะสมกุศล มีประโยชน์มากกว่า เพราะ เมื่อทำกุศลช้าอยู่ใจย่อมยินดีในบาปอ่านพระสูตรนี้บ่อยๆ ทำให้มีการเพิ่มความเข้าใจมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะทำดีมากขึ้น ชีวิตมีแต่สิ่งที่ดีงามเพราะมีความเห็นถูกค่ะ