เรื่องจริงที่เกิดขึ้นคือคนที่ศึกษาธรรม ทำบุญ ทำไมเป็นเช่นนี้?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยและเป็นที่พึ่งอันสูงสุด
ขอเรียนถามท่านสหายธรรมและจนท.มศพ.
นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ผมได้เจอกับผู้หนึ่งที่ศึกษาธรรม เขาบอกว่าศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎกจากอีกสำนักหนึ่งแถวๆ ปทุม คลองหลวง ทำบุญเข้า กทม.บ่อย แต่ผมว่าสำนักนี้เป็น พุทธพาณิชย์ และแต่พฤติกรรมเขาติดเงินเราเป็นหมื่น ไม่ยอมจ่าย ผัดผ่อนมาเรื่อย ผ่อนมา ตลอดเป็นเวลากว่า ๖ เดือนยังจ่ายไม่หมด อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงเป็นคนธรรมะธรรมโม พี่สาวแฟนเรียกเช่นนั้น และมาขอเครดิตเอาสินค้าเครื่องสำอางออกไปขายก่อนสุดท้าย ไม่เอาเงิน มาให้ พฤติกรรมนี้เหมือนหลอกลวง
ผมก็เลยเห็นว่าการที่คนมาสนใจและศึกษาธรรมมะใช่ว่า จะเป็นคนดีเสมอไปทั้งหมด เป็นคนไม่ดีในคราบนักบุญก็มี เคยมีคนบอกผมว่าคนที่ศึกษาธรรมส่วนใหญ่เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่การทำดีเฉพาะตัว ทุกท่านเห็นว่าอย่างไรครับ คนศึกษาธรรมมีกี่ประเภท หรือนี่เป็นกรรมที่ผมเคยทำไว้ครับ?
ขออนุโมทนาครับ
ทำไมเป็นเช่นนี้? เพราะความจริงต้องเป็นเช่นนี้ ตามเหตุที่กระทำ คือ จากกุศล หรือ อกุศล จะศึกษาหรือไม่ศึกษา ถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็มีกิเลสกันทุกคนแล้วแต่การสะสมครับ เพียงแต่ว่าจะเห็นโทษด้วยปัญญาหรือไม่เท่านั้น ผู้ที่ศึกษาโดยแนวทางที่ถูกต้องย่อมจะมีโอกาสในการเจริญปัญญา เมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลอื่นๆ ทุกประการก็สามารถเจริญด้วย จนสามารถขัดเกลาอกุศลในชีวิตประจำวันให้เบาบางลงได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้เกิด ในเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสอะไรสักอย่าง เป็นเพียงปุถุชนครับ คนที่บอกคุณเจริญในธรรม เขาอาจจะตัดสินจากเหตุการณ์ เรื่องราว แต่ว่านั่นไม่ใช่การรู้ความจริงที่มาจากการระลึกโดยสติของเขาเอง เป็นแต่เพียงความคิดเหมารวมเอาจากความทรงจำในประสบการณ์บางส่วนของตน อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่เขาครับ เพราะส่วนใหญ่ เราก็เป็นอย่างนั้น เวลาเห็นโทษของใคร ไม่ว่าผู้ที่เราเห็นโทษนั้นจะศึกษาธรรมะหรือไม่ก็ตาม เรามักจะเป็นไปกับความคิดที่เป็นอกุศลประจำ เช่น เพ่งโทษบ้าง ลบหลู่บ้าง นินทาบ้าง เสียดสีบ้าง ฯลฯ ซึ่งถ้าไม่เคยระลึกแล้วเห็นโทษของความคิดที่เกิดในใจนี้เลย ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกที่การกระทำทางกาย วาจา ของเขาจะออกมาในรูปแบบนั้นครับ ที่สำคัญกว่า คือ เพียงถ้าเราเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรมะที่เกิดกับใครก็คงไว้ซึ่งลักษณะอย่างนั้นจริงๆ เราจะโกรธใคร ก็มีแต่กุศล หรือ อกุศลที่ดับไปแล้ว เพราะเราพูดถึงเหตุการณ์ที่ล่วงไปแล้ว ฉะนั้น ผู้มีปัญญาจึงย่อมพร้อมเสมอที่จะให้อภัยครับ
กุศลเป็นสิ่งที่ดี เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็เรียกคนนั้นเป็นคนดี โดยนัยเดียวกับอกุศล เกิดขึ้นมีกำลังสามารถล่วงทุจริตกรรมต่างๆ มีการคดโกงเป็นต้น ก็เป็นคนไม่ดี ในคนเดียวกันก็มีทั้งกุศลและอกุศล ที่ล่วงเป็นกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมต่างๆ และวิบากที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส และทบสัมผัสทางกาย วิบาก คือ ผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วส่วนทางใจไม่ใช่ผลของกรรม เป็นกุศลหรืออกุศล ที่เมื่อมีกำลังก็พร้อมที่จะล่วงเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ทางกาย ทางวาจาต่อไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภทที่มีอยู่ในโลก คือ
๑. ทำตัวเองให้เดือดร้อน ประกอบเนืองๆ ในการทำตนเองให้เดือดร้อน
๒. ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบเนืองๆ ในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
๓. ทำตัวเองให้เดือดร้อน ประกอบเนืองๆ ในการทำตนเองให้เดือดร้อนด้วย
ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบเนืองๆ ในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อนด้วย
๔. ไม่ทำทั้งสองอย่างนั้น ซึ่งเป็นผู้หมดความกระหาย ดับเย็นในปัจจุบัน