ไม่อยากมีความรักแบบชายหญิง ทำอย่างไรดี?

 
ภพฺพาคมโน
วันที่  18 ม.ค. 2549
หมายเลข  733
อ่าน  3,198

ไม่อยากมีความรักแบบชายหญิงเพราะความรักเป็นบ่อเกิดแห่งความกระวนกระวาย ดิ้นรน หนักหน่วง และซึมเศร้า ไม่อยากเอาความสุขไปแขวนไว้กับคนอื่น และความรักก็เป็นกามฉันท์ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเจริญสมถะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 19 ม.ค. 2549

เป็นผู้มีปกติเจริญกุศลทุกประการและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ส่วนความเป็นไปของชีวิตให้ปล่อยไปตามเหตุและปัจจัย การอบรมเจริญสติปัฏฐานเจริญได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้ามีเหตุปัจจัยให้มีชีวิตแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ควรกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป ส่วนการจะดับคือละความรักความติดข้องในกามคุณ (โลภะ) ต้องอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุเป็นพระอนาคามี บุคคลจึงจะหมดโดยไม่เกิดอีกเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 10 เม.ย. 2549

เป็นผู้มีปกติเจริญกุศลทุกประการและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ส่วนความเป็นไปของชีวิต ให้ปล่อยไปตามเหตุและปัจจัยการอบรมเจริญสติปัฏฐานเจริญได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้ามีเหตุปัจจัยให้มีชีวิตแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ควรกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นอแรด
วันที่ 11 เม.ย. 2549

ถ้าเป็นไปได้ต้องไม่ประมาททั้ง ผู้หญิง และผู้ชายเลย เรื่องรักใคร่ นี่มุ่งปฏิบัติ เจริญสติเป็นปกติเป็นอุบาสิกาแก้ว มีธรรมะเป็นอาภรณ์

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
namarupa
วันที่ 11 เม.ย. 2549

ไม่อยากมีความรักแบบชายหญิง ทำอย่างไรดี?

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เมื่อมีเหตุ ผลนั้นย่อมตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากว่าเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ที่จะทำให้เกิดมีความรัก ถามว่ามีใครที่จะยับยั้งได้ไหม? ไม่มีทาง ไม่เช่นนั้นคำสอนของพระพุทธองค์จะต้องเป็นโมฆะแน่ๆ เพราะฉะนั้นมีอยู่หนทางเดียว คือ ศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจ เมื่อเรามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เราก็จะไม่เป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เราจะศึกษาในสภาพธรรม ที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏอยู่ในขณะนี้ เพราะนั่นคือสิ่งที่มีประโยชน์และมีสาระที่สุดในชีวิตนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
shumporn.t
วันที่ 12 เม.ย. 2549

ความอยากไม่ได้ทำให้เราสมความปรารถนา แต่ความรู้ ความเข้าใจในความเป็นจริงของสภาพธรรมะที่ปรากฏสามารถบรรเทาได้ ทำให้เราเกิดความสงบได้ตามลำดับขั้นของปัญญา ถ้าปัญญาและสติเกิดบ่อยๆ ชีวิตคงมีความผาสุกมากขึ้น แต่ถ้าความอยากเกิดแล้วยังไม่รู้ว่านี้คือเหตุของความทุกข์ ก็ต้องอยากไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ความจริงว่าอกุศลเกิดแล้ว เหตุของทุกข์ที่ไม่อยู่ในตำรามาแล้ว ในความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ท่านอาจารย์ สุจินต์ บอกว่า ความอยากเกิดขึ้นนิดหนี่ง ก็ให้เข้าใจว่าเขาเป็นทั้งศิษย์และอาจารย์ ค่อยแนะนำและให้เราทำตามอยู่เสมอ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 12 เม.ย. 2549

อนุโมทนาทุกท่านที่ตอบค่ะ _/|_

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ต้นไม้
วันที่ 13 เม.ย. 2549

เรียนท่านวิทยากร

ที่ท่านบอกว่า ถ้ามีเหตุปัจจัยให้มีชีวิตแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ควรกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป ส่วนการจะดับคือ ละความรักความติดข้องในกามคุณ (โลภะ) ต้องอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคลจึงจะหมดโดยไม่เกิดอีกเลย ดังข้างต้นนั้น ทำให้หนูสงสัยว่า ... ปัจจุบันแก้ไขอะไรไม่ได้เลยหรือ จะพ้นก็ต้องเป็นพระอนาคามี (อีกกี่ชาติกันล่ะ) ฟังแล้ววังเวงจัง

คุณ ภพฺพาคมโน ก็สอดรับว่า ส่วนความเป็นไปของชีวิต ให้ปล่อยไปตามเหตุและปัจจัย การอบรมเจริญสติปัฏฐานเจริญได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้ามีเหตุปัจจัยให้มีชีวิตแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ควรกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป หนูฟังแล้วดูมันลอยๆ พิกล คล้ายจะบอกว่าปล่อยตามยถากรรม หนูก็ความรู้ทางธรรมก็แค่อนุบาล (อย่าถือสานะคะ) ยังไงท่านกรุณาตอบหน่อย อ้อ ! เกือบลืม เหลือบไปเห็นคุณนอแรดแสดงความเห็นมาสั้นๆ ว่า "อย่าประมาท" ฟังแล้วดูน่าจะมั่นใจดี ในปัจฉิมโอวาทพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
study
วันที่ 13 เม.ย. 2549

เป็นผู้มีปกติเจริญกุศลทุกประการและทำวันนี้ให้ดีที่สุด นี่คือความไม่ประมาท

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 291

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ

สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา ขอท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. ไม่ช้าตถาคตจักปรินิพพาน จากนี้ล่วงไปสามเดือนตถาคตจักปรินิพพาน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าสุคตศาสดาครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

[๑๐๘] คนเหล่าใด ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ทั้งพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมี ทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า. ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบทุกชนิดมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น.

เชิญคลิกอ่าน ...

สังขารไม่เที่ยง [อภิญญาเทสิตธรรกถา]

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
study
วันที่ 13 เม.ย. 2549

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 322

พระปัจฉิมวาจา

[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
น้องเนส
วันที่ 13 เม.ย. 2549

ขออนุโมทนากับมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคุณ namarupa ในวันขึ้นปีใหม่สงกรานต์ปีจอด้วยนะคะ รวมทั้งคุณภพฺพาคมโน สมาชิกทุกท่านเทอญ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
อ้อม
วันที่ 14 เม.ย. 2549
ขออนุโมทนาด้วยอีกคน เทอญ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เด็กน้อยฟังธรรม
วันที่ 15 พ.ค. 2549

ถ้าเรายังเชื่อว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตานะครับ เรื่องของความรักชายหญิงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยครับ เพราะเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 22 ม.ค. 2552

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Jarunee.A
วันที่ 11 ก.พ. 2567

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ