ไม่อยากมีความรักแบบชายหญิง ทำอย่างไรดี?
ไม่อยากมีความรักแบบชายหญิงเพราะความรักเป็นบ่อเกิดแห่งความกระวนกระวาย ดิ้นรน หนักหน่วง และซึมเศร้า ไม่อยากเอาความสุขไปแขวนไว้กับคนอื่น และความรักก็เป็นกามฉันท์ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเจริญสมถะ
เป็นผู้มีปกติเจริญกุศลทุกประการและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ส่วนความเป็นไปของชีวิตให้ปล่อยไปตามเหตุและปัจจัย การอบรมเจริญสติปัฏฐานเจริญได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้ามีเหตุปัจจัยให้มีชีวิตแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ควรกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป ส่วนการจะดับคือละความรักความติดข้องในกามคุณ (โลภะ) ต้องอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุเป็นพระอนาคามี บุคคลจึงจะหมดโดยไม่เกิดอีกเลย
เป็นผู้มีปกติเจริญกุศลทุกประการและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ส่วนความเป็นไปของชีวิต ให้ปล่อยไปตามเหตุและปัจจัยการอบรมเจริญสติปัฏฐานเจริญได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้ามีเหตุปัจจัยให้มีชีวิตแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ควรกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป
ถ้าเป็นไปได้ต้องไม่ประมาททั้ง ผู้หญิง และผู้ชายเลย เรื่องรักใคร่ นี่มุ่งปฏิบัติ เจริญสติเป็นปกติเป็นอุบาสิกาแก้ว มีธรรมะเป็นอาภรณ์
ขออนุโมทนา
ไม่อยากมีความรักแบบชายหญิง ทำอย่างไรดี?
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เมื่อมีเหตุ ผลนั้นย่อมตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากว่าเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ที่จะทำให้เกิดมีความรัก ถามว่ามีใครที่จะยับยั้งได้ไหม? ไม่มีทาง ไม่เช่นนั้นคำสอนของพระพุทธองค์จะต้องเป็นโมฆะแน่ๆ เพราะฉะนั้นมีอยู่หนทางเดียว คือ ศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจ เมื่อเรามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เราก็จะไม่เป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เราจะศึกษาในสภาพธรรม ที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏอยู่ในขณะนี้ เพราะนั่นคือสิ่งที่มีประโยชน์และมีสาระที่สุดในชีวิตนี้
ความอยากไม่ได้ทำให้เราสมความปรารถนา แต่ความรู้ ความเข้าใจในความเป็นจริงของสภาพธรรมะที่ปรากฏสามารถบรรเทาได้ ทำให้เราเกิดความสงบได้ตามลำดับขั้นของปัญญา ถ้าปัญญาและสติเกิดบ่อยๆ ชีวิตคงมีความผาสุกมากขึ้น แต่ถ้าความอยากเกิดแล้วยังไม่รู้ว่านี้คือเหตุของความทุกข์ ก็ต้องอยากไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ความจริงว่าอกุศลเกิดแล้ว เหตุของทุกข์ที่ไม่อยู่ในตำรามาแล้ว ในความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ท่านอาจารย์ สุจินต์ บอกว่า ความอยากเกิดขึ้นนิดหนี่ง ก็ให้เข้าใจว่าเขาเป็นทั้งศิษย์และอาจารย์ ค่อยแนะนำและให้เราทำตามอยู่เสมอ
เรียนท่านวิทยากร
ที่ท่านบอกว่า ถ้ามีเหตุปัจจัยให้มีชีวิตแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ควรกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป ส่วนการจะดับคือ ละความรักความติดข้องในกามคุณ (โลภะ) ต้องอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคลจึงจะหมดโดยไม่เกิดอีกเลย ดังข้างต้นนั้น ทำให้หนูสงสัยว่า ... ปัจจุบันแก้ไขอะไรไม่ได้เลยหรือ จะพ้นก็ต้องเป็นพระอนาคามี (อีกกี่ชาติกันล่ะ) ฟังแล้ววังเวงจัง
คุณ ภพฺพาคมโน ก็สอดรับว่า ส่วนความเป็นไปของชีวิต ให้ปล่อยไปตามเหตุและปัจจัย การอบรมเจริญสติปัฏฐานเจริญได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้ามีเหตุปัจจัยให้มีชีวิตแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ควรกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป หนูฟังแล้วดูมันลอยๆ พิกล คล้ายจะบอกว่าปล่อยตามยถากรรม หนูก็ความรู้ทางธรรมก็แค่อนุบาล (อย่าถือสานะคะ) ยังไงท่านกรุณาตอบหน่อย อ้อ ! เกือบลืม เหลือบไปเห็นคุณนอแรดแสดงความเห็นมาสั้นๆ ว่า "อย่าประมาท" ฟังแล้วดูน่าจะมั่นใจดี ในปัจฉิมโอวาทพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกไหมคะ
เป็นผู้มีปกติเจริญกุศลทุกประการและทำวันนี้ให้ดีที่สุด นี่คือความไม่ประมาท
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 291
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา ขอท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. ไม่ช้าตถาคตจักปรินิพพาน จากนี้ล่วงไปสามเดือนตถาคตจักปรินิพพาน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าสุคตศาสดาครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๐๘] คนเหล่าใด ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ทั้งพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมี ทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า. ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบทุกชนิดมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น.
เชิญคลิกอ่าน ...
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 322
พระปัจฉิมวาจา
[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.
ขออนุโมทนากับมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคุณ namarupa ในวันขึ้นปีใหม่สงกรานต์ปีจอด้วยนะคะ รวมทั้งคุณภพฺพาคมโน สมาชิกทุกท่านเทอญ