จดหมายจากท่านผู้ฟัง [2]

 
สารธรรม
วันที่  20 ก.พ. 2551
หมายเลข  7433
อ่าน  1,115

วัดร้าง ต. อ้อมใหญ่ อ. สามพราน จ.นครปฐม

วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๗ เจริญพรมายังอาจารย์ที่นับถือ

อาตมาได้รับฟังคำบรรยายวิปัสสนา อันเป็นแนวทางทางวิทยุกระจายเสียง รู้สึกว่าได้รับความรู้ในทางพระพุทธศาสนาในเรื่องของพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรมที่ท่านอาจารย์ ที่ท่านได้มีเมตตาจิตได้กรุณาเผยแพร่ธรรมวินัย อันเป็นคำสั่งและคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผู้ที่ได้ตั้งใจสดับ ให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย สำหรับรายการของท่านอาจารย์สุจินต์นั้น ท่านบรรยายในเรื่องของวิปัสสนาเพื่อให้ผู้ตั้งใจฟังได้เกิดปัญญาในทางปฏิบัติธรรมะในขั้นสูง คือให้เกิดปัญญาในทางพระอภิธรรม อันเป็นข้อประพฤติปฏิบัติในทาง ศีล สมาธิ ปัญญา เปรียบประดุจท่านส่องไฟให้ผู้มีตา ได้แลเห็นสิ่งที่อยู่ที่มืดให้แลเห็นได้ ซึ่งไม่เหมือนกับท่านอาจารย์ในสำนักอื่นๆ ท่านอาจารย์ตามสำนักต่างๆ โดยมาก มักจะประกอบด้วยพิธีรีตอง โดยท่านสอนเป็นไปตามอุบาย หรือเรียกว่าตามนโยบายของท่าน คือจะต้องให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนๆ กัน ก็เลยกลายเป็นลัทธิเอาอย่าง กลายเป็นเถรส่องบาตร เป็นอาจริยวาท เชื่ออาจารย์ไปโดยงมงาย หาได้เกิดสติสัมปชัญญะตรงตามพระธรรมของพระ-เจ้าเลย จึงกลายเป็นเกิดทิฏฐิ มานะ ขึ้นมาภายในจิต เหมือนอย่างอาตมา เมื่อฟังอาจารย์บรรยายธรรมะครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ก็ไม่เกิดศรัทธา ครั้นฟังบ่อยๆ จึงรู้ว่าตนเป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมิจฉาจิต และประกอบไปด้วยอหังการ มมังการ เมื่อฟังอาจารย์พูดบ่อยๆ เข้าก็คลายกิเลสลงได้บ้างในขณะที่ฟัง ครั้นหยุดฟังกิเลสก็กลับเข้าหมักดองในสันดานอีกต่อไป ถ้าขณะใดสติระลึกได้ในคำสอนของท่านอาจารย์ จิตก็จะเป็นกุศล ขณะใดหลงลืม ขาดสติสัมปชัญญะ อกุศลก็ครอบงำร่ำไป จริงอย่างอาจารย์บรรยาย นี่เป็นความจริงของชีวิตอาตมา ๕๗ ปีที่เกิดมาแล้ว ก็เห็นแต่อนิจจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่มันไม่ได้เห็นสิ่งเฉพาะหน้า คือ ขาดทั้งสติ และสัมปชัญญะ เพราะมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรม เป็นเจ้าเรือนครองอยู่ในจิต ที่อาตมาพูดได้อย่างนี้เพราะอาศัยตำรา แต่ก็เป็นความจริงในชีวิตที่เป็นอยู่ เป็นพระอยู่ทุกวันนี้ เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย อยู่แทบทุกวัน แทนที่จะนึกว่าตัวก็เป็นเช่นนั้น แล้วนึกสังเวช ก็เปล่า กลับมีความพอใจเหมือนสัปเหร่อ ที่คอยจะหาผลประโยชน์จากคนตาย ฉะนั้น เห็นว่าคนเราที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ส่วนมากมักเห็นแต่ประโยชน์ของตน คือมีใจอยากจะได้ถ่ายเดียว ส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากจะเสียสละอย่างแท้จริงเลย โดยมากอยากจะเสียให้น้อย คิดเอาให้มากกว่านั้น อาตมาเป็นคนรู้น้อยเรียนก็น้อย การเขียนหนังสือก็พออ่านออก และมีการตกหล่นผิดพลาดอยู่มาก วรรคตอนไม่ถูกต้อง หวังว่าท่านอาจารย์คงอภัย สุดท้ายนี้ ขออานุภาพของคุณพระรัตนตรัย จงเป็นพลวปัจจัย ให้ท่านอาจารย์ประกอบด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสาร สมบัติ ทุกประการเทอญ

ท่าน อ. สุจินต์ : ขอกราบนมัสการในเมตตาจิตของพระคุณเจ้า

บรรยายโดย ... ท่าน อ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ข้อความบางตอนจาก ... ชุดเทปวิทยุ ตอนที่ ๔๗๐


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
wannee.s
วันที่ 20 ก.พ. 2551

มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วไม่ประมาททำความดี รักษาศีล ฟังธรรม ก็ชื่อว่าสว่างมา แต่ส่วนมากประมาทไม่เจริญกุศล ไม่ฟังธรรม ไม่รักษาศีล ก็ชื่อว่าส่ว่างมามืดไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pairojj
วันที่ 22 ก.พ. 2551

แม้บางคน อบรมความเข้าใจในข้อประพฤติปฏิบัติ ที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยก็น่าเสียดายเวลาที่สูญเปล่าพร้อมทั้งสะสมความเห็นผิดต่อไปอีกเรื่อยๆ ข้อความในพระไตรปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรคมีว่า สัพพนัตถา วหัง โหติ ความว่า รู้ว่าตบะทั้งหมดไม่นำประโยชน์มาให้เรา บทว่า ถิยารัตตังธัมมนิ ความว่า เหมือนถ่อเรือบนบกในป่า ท่านอธิบายว่า เปรียบเสมือนคนทั้งหลายวางเรือไว้บนบกในป่า บรรทุกสิ่งของทั้งหลายแล้ว เมื่อมหาชนขึ้นเรือแล้วก็จับถ่อยันมาข้างนี้ ยันไปข้างโน้น ความพยายามของมหาชนนั้นไม่ทำเรือให้เขยื้อนไปแม้เพียงนิ้วหนึ่ง สองนิ้ว ก็พึงไร้ประโยชน์ ไม่นำประโยชน์มาให้ ข้อนั้นฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เรารู้ว่าตบะอื่นๆ ทั้งหมด ย่อมเป็นตบะที่ไม่นำประโยชน์มาให้จึงสละเสีย บทว่า มัคคังโพธายะภาวยัง ได้แก่ ทรงเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เพื่อตรัสรู้ ก็ในคำนี้บทว่า โพธายะ ได้แก่ เพื่อมรรค เหมือนอย่างว่าคนทั้งหลาย ต้มข้าวต้มอย่างเดียวก็เพื่อข้าวต้ม ปิ้งขนมอย่างเดียวก็เพื่อขนมไม่ทำกิจไรๆ อย่างอื่นฉันใด บุคคลเจริญมรรคอย่างเดียวก็เพื่อมรรคฉันนั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ไม่มีเรา
วันที่ 30 ธ.ค. 2551

โมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ