จะรอทำไมให้ถึงก่อนตาย
ได้ฟัง ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยายในรายการ "แนวทางเจริญวิปัสสนา" เนื้อหาตอนหนึ่ง มีผู้ถามท่านหนึ่ง ถามท่านอาจารย์สุจินต์ ว่า "เมื่อจิตเราใกล้จะตาย ควรจะต้องพิจารณาธรรมใดจึงจะถูกต้อง " ซึ่งคำตอบของท่านอาจารย์สุจินต์ เป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ประมาทได้ดีเป็นอย่างยิ่ง จึงขอยกมาเพื่อศึกษาร่วมกัน ดังนี้ครับ
ผู้ถาม ถามว่า "เมื่อจิตเรา ใกล้จะตาย ควรจะต้องพิจารณาธรรมใด จึงจะถูกต้อง"
ท่านอาจารย์สุจินต์ ตอบว่า "ตายขณะนี้ได้ไหม ถ้าเรารู้ว่าตายตอนนี้จะได้กำหนดถูกความจริง ความตายเร็วที่สุด ก่อนตายอาจจะนอนป่วยไข้ หรือสนุกสนานร่าเริง แต่พอถึงเวลาตายก็ตายได้ แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ตายได้ เพราะฉะนั้น ความตายตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิต ดังนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อใด ถ้าคิดว่าก่อนตายจะทำอย่างไร จงทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แต่ว่าไม่มีใครจะไปทำอะไรได้ เพราะปกติคนอยากจะมีกุศลทุกวัน แต่ตามเหตุพอมีเหตุของอกุศล อกุศลก็เกิด และไม่ต้องคร่ำครวญว่า อกุศลมากเหลือเกินเพราะเหตุว่า ถ้ารู้เรื่องเหตุและผลแล้ว และรู้ว่ากุศลน้อย ก็ต้องอบรมเจริญกุศลโดยไม่ประมาท เพราะฉะนั้น ถ้ากลัวเกิดในอบายภูมิ ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทในการอบรมเจริญกุศลโดยเฉพาะการเจริญปัญญา เพราะพระอริยบุคคลเท่านั้น ที่จะไม่เกิดในอบายภูมิ แต่ถ้าไม่เป็นพระอริยบุคคล อกุศลกรรมที่มี ที่ได้กระทำแล้ว ไม่เฉพาะที่ทำในชาตินี้ อาจจะเป็นชาติไหนๆ ก็ได้ จากอดีตหลายแสนโกฏิกัปป์ก็อาจจะมาทำให้เกิดในชาตินี้ได้ แต่เรื่องที่จะทำอะไรก่อนตาย ไม่มีใครทำได้จริงๆ เหมือนกับขณะนี้ จะรอทำไมให้ถึงก่อนตาย ทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ทำให้จิตเป็นกุศลเสียเดี๋ยวนี้ ให้ปัญญาเกิดเสียเดี๋ยวนี้ แทนที่จะไปรอทำก่อนตาย"
ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ คือผู้มีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท
ขออนุโมทนาค่ะ
เคยอ่านที่ท่านอ. ให้พร ว่า ขอให้เจริญมั่นคงในกุศลทุกประการ ครอบคลุม ครบถ้วนดีจริงๆ ค่ะ
ทำไม่ได้แม้ใกล้ตาย และในขณะนี้ เพราะเป็นหน้าที่ของธรรม และเป็นอนัตตาครับ
ขออนุโมทนา
หากศึกษาและมั่นคงในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมโดยมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ ไม่มีเราที่จะพิจารณาธรรมใดๆ ทุกขณะสภาพธรรมเกิดขึ้น และดับไปด้วยเหตุและปัจจัยเร็วมากสุดประมาณที่จะเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่สามารถกำหนดหรือกะเกณฑ์ได้ ครับ
ขออนุโมทนากระทู้นี้ด้วยครับ
ที่กล่าวว่าเป็น อนัตตา เพื่อให้เข้าใจว่าไม่มีเราที่จะทำอะไรได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย
ค่ะ เห็นด้วยกับ คห 7
อนุโมทนาผู้ตั้งกระทู้และทุกท่านค่ะ
ใครจะรู้ว่าจะตายเมื่อไร ทำวันนี้สิ วันที่ตา หู สมองดี ทำกุสลไว้ดีกว่าแน่ วันหยุดมาฟังธรรมแทนที่จะไปยิงนก ตกปลา ทำบาป
มีคน หมู่บ้านใกล้เคียง ได้ยินว่า ตายขณะกำลังอ้าปากหัวเราะ ไม่ทราบว่า เขาจะมีคติ ไปไหน อย่างไร คือเขาหัวเราะ ด้วยความตลกขบขันอยู่ แล้วไม่ทันหยุดหัวเราะ ก็ตายไปเลย เป็นเรื่องจริงครับ
เรียน ท่านวิทยากรและท่านพุทธศาสนิกทุกท่าน
การสวดพระอภิธรรมในงานศพเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงชัดเลยว่า สวดในงานศพ แต่ความจริงพระอภิธรรมนี้มีให้เพื่อคนมีชีวิต มีตา มีหูดี มีสมองดี มาสิกขา มาเรียนเพื่อให้เจริญกุสล เจริญปัญญาเพื่อตัดภพชาติ แต่ สังคมกลับไปใช้ สวดในงานศพ คนตายฟังธรรมไม่ได้ เพราะไม่มีชีวิตแล้ว แต่พระภิกษุในอดีตท่านเห็นว่า โอกาสคนจะเข้าวัดเรียนอภิธรรมมีน้อยลงๆ จึงออกอุบายให้พระสวดพระอภิธรรมในงานศพ แม้ผู้มางานจะฟังบาลีไม่เป็นแต่หากสนใจจะได้ไปหาเรียนเพิ่มเติม
ในขณะนี้มีหลายสำนักที่สอนพระอภิธรรมกัน ขอให้ท่านพิจารณาดูว่า ท่านเหมาะสมกับที่ไหนหากไม่ลำบาก มาที่มศพ.นี้ ทั้งในงานสอนจริงในเว็บนี้ย่อมมีประโยชน์
ขออนุโมทนา