เสน่ห์ของผ้าขี้ริ้ว
ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย
ผ้าขี้ริ้ว ยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เปรียบเหมือนคนที่เสียสละตัวเอง เพื่อให้ผู้อื่น เป็นสุข
ผ้าขี้ริ้ว เป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เปรียบเหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น มีความเต็มใจเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่นเขาจะเป็นคนที่มีคุณค่าไม่ว่ามาจากสกุลใด
ผ้าขี้ริ้ว ถึงจะเป็นผ้าที่ไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เปรียบเหมือนคนที่พยายามทำความดี มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ช่วยเหลือ ไม่เกี่ยงงอนว่าจะเป็นงานหนัก งานเบา อาสาทำงานที่ ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มที่ เต็มใจ ไม่บ่น ซึ่งเหมือนกับผ้าขี้ริ้วที่ไม่เคยเกี่ยงงอนว่า จะถูกใช้ถูอะไร
ผ้าขี้ริ้ว พอใจที่จะอยู่เบื้องหลังความสะอาด เปรียบเหมือนคนที่พอใจที่จะอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น เช่น ปิดทองหลังพระ
ผ้าขี้ริ้ว มีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสทุกสิ่ง เปรียบเหมือนชีวิตคนเรา หากทนต่อความทุกข์ยาก ลำบากได้ ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ด้วยความเต็มใจ ตั้งมั่น มีความเพียรในการ ทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ก็จะเป็นคนที่มีเสน่ห์ และมีคุณค่าในตัวเองเหมือน ผ้าขี้ริ้ว
ท่านพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ท่านเป็นคนอ่อนน้อมทำตัวเหมือนผ้าเช็ดธุลี เหมือนโคเขาขาด เหมือนเด็กจัณฑาลเข้าสู่สภา เปรียบเหมือนแผ่นดินย่อมทนทุกสิ่งได้ไม่ว่าจะเป็นของหอม หรือของสกปรก แผ่นดินก็ไม่ระอา หรือหวั่นไหวไปย่อมมีจิตเสมอเหมือนกันหมด
ถ้าเป็นดุจผ้าเช็ดธุลีได้จริงๆ ก็จะเป็นผู้มีความสบายใจอยู่เสมอ ไม่ว่าใครจะประพฤติต่อเราอย่างไร ไม่ว่าจะด้วยกาย อาจจะเป็นการกระทำที่ไม่ถูกใจเรา หรือด้วยวาจา ซึ่งอาจจะเป็นถ้อยคำที่เราไม่อยากจะได้ฟังเลย แต่ใจเราก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าไม่ถือว่า ตนเป็นผู้มีความสำคัญ
ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
เป็นมุมหนึ่งของผ้าขี้ริ้วที่บางทีก็โดนมองข้ามไปจริงๆ
ขออนุโมทนานะคะ
เอ่อ ก็ทำได้เป็นบางครั้งบางคราวค่ะ เพราะยังหนาอยู่
ขออนุโมทนา
พิสูจน์ความไม่สำคัญตน ความอดทนเหมือนผ้าขี้ริ้วได้ เวลาที่อยู่กับคนรอบข้างครับ
พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้สะอาด ปราศจากกิเลสทั้งปวง ความสกปรกเศร้าหมองใดๆ ก็ไม่อาจย้อนกลับมาแปดเปื้อนพวกท่านได้ การที่ท่านพระสารีบุตรเปรียบตนดังเช่นผ้าเช็ดธุลี ก็ด้วยปัญญา และการสั่งสมอุปนิสัยของท่าน ส่วนปุถุชนทั้งหลายควรพิจารณาเห็นความไม่สะอาดในตนเป็นสำคัญ เพราะปัญญาเครื่องดับกิเลสขั้นต้นไม่ได้ดับมานะความสำคัญตน แต่ต้องดับความเห็นผิดเสียก่อน
ท่านเป็นถึง อัครสาวกเบื้องขวา แต่ความสำคัญตน (มานะ) และกิเลสทั้งหลาย ท่านดับได้เด็ดขาดแล้ว คุณธรรมของท่าน จึงต่างกับปุถุชนอย่างพวกเรา ราวฟ้ากับเหว ครับ จึงเป็นคำตอบ (ที่หลายท่านคงทราบแล้ว) ของท่าน อ.สุจินต์ ที่ว่า
" ไปหาอะไรในเชตวัน? "