ชีวิตเป็นอยู่ก็เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น..... ประทับใจมากๆ ๆ
ชีวิตเป็นอยู่ก็เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น.....
ได้ฟังท่านอาจารย์สุจินต์ พูดในซีดีครับ รบกวนทุกท่านช่วยกันอภิปรายเพื่อความแตกฉานในธรรมกันด้วยครับ ผมอยากทราบการขยายความครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอเชิญอ่านคำขยายจากมหานิทเทสและอรรถกถาครับ
[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๖๐๑
[๑๘๒] คำว่า ชีวิตนี้น้อยหนอ มีความว่า คำว่า ชีวิต ได้แก่อายุ ความตั้งอยู่ ความดำเนินไป ความให้อัตภาพดำเนินไป ความเป็นไป ความหมุนไป ความเลี้ยง ความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์. อนึ่ง ชีวิตน้อย คือชีวิตนิดเดียว โดยเหตุ ๒ ประการ คือชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อย ๑ ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อย ๑.
ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อยอย่างไร? ชีวิตเป็นอยู่แล้วในขณะจิต เป็นอดีตย่อมไม่เป็นอยู่ จักไม่เป็นอยู่. ชีวิตจักเป็นอยู่ในขณะจิต เป็นอนาคตย่อมไม่เป็นอยู่ ไม่เป็นอยู่แล้ว. ชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบันไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่. สมจริงดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :- ชีวิต อัตภาพ สุขและทุกข์ทั้งมวล เป็นธรรม ประกอบกันเสมอด้วยจิตดวงเดียว.
ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อยอย่างไร? ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้าเนื่องด้วยลมหายใจออก เนื่องด้วยลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เนื่องด้วยมหาภูตรูป เนื่องด้วยไออุ่น เนื่องด้วยกวฬิงการาหาร เนื่องด้วยวิญญาณ. กรัชกายอันเป็นที่ตั้งแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านั้นก็ดี อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน และภพอันเป็นเหตุเดิมแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกก็ดี ปัจจัยทั้งหลายก็ดี ตัณหาอันเป็นแดนเกิดก่อนก็ดี รูปธรรมและอรูปธรรมที่เกิดร่วมกันก็ดี อรูปธรรมที่ประกอบกันก็ดี ขันธ์ที่เกิดร่วมกันแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านี้ก็ดี ตัณหาอันประกอบกันก็ดี ก็มีกำลังทราม. ธรรมเหล่านั้นมีกำลังทรามเป็นนิตย์ต่อกันและกัน มิได้ตั้งมั่นต่อกันและกัน ย่อมยังกันและกันให้ตกไปเพราะความต้านทานมิได้มีแก่กันและกัน ธรรมเหล่านี้จึงไม่ดำรงกันและกันไว้ได้ ธรรมใดให้ธรรมเหล่านี้เกิดแล้ว ธรรมนั้นมิได้มี. ก็แต่ธรรมอย่างหนึ่งมิได้เสื่อมไปเพราะธรรมอย่างหนึ่ง. ก็ขันธ์เหล่านี้แตกไปเสื่อมไปโดยอาการทั้งปวง ขันธ์เหล่านี้อันเหตุปัจจัยมีในก่อนให้เกิดแล้ว. แม้เหตุปัจจัยอันเกิดก่อนเหล่าใด แม้เหตุปัจจัยเหล่านั้นก็ดับแล้วในก่อน. ขันธ์ที่เกิดก่อนก็ดี ขันธ์ที่เกิดภายหลังก็ดี มิได้เห็นกันและกันในกาลไหนๆ . ฉะนั้นชีวิตจึงชื่อว่า เป็นของน้อยเพราะมีกิจน้อย อย่างนี้ อายุของพวกมนุษย์น้อย บุรุษผู้ใคร่ความดีพึงดูหมิ่น อายุที่น้อยนี้ พึงรีบประพฤติให้เหมือนคนถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น. เพราะความตายจะไม่มาถึงมิได้มี วันคืนย่อมล่วง เลยไป ชีวิตก็กระชั้นเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมสิ้นไป เหมือนน้ำในแม่น้ำน้อย น้อยสิ้นไปฉะนั้น.เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ชีวิตนี้น้อยหนอ.
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ภิกษุไม่ประมาท ให้พิจารณาธรรมทุกลมหายใจเข้าออก ชีวิตนี้สั้นนัก ถ้าหายใจเข้า แล้วไม่หายใจออกก็ตายค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าหายใจทิ้งไปเปล่าๆ ให้เจริญกุศลทุกอย่างค่ะ ไม่ประมาทว่าเรายังมีชีวิตอยู่อีกนาน
ชีวิต คือจิต เจตสิก รูป แต่ละขณะอันแสนสั้นที่เกิด ดับตามเหตุปัจจัย ไม่ยั่งยืนดับแล้ว หมดไป ไม่กลับมาเกิดอีก แต่เป็นปัจจัยให้จิตขณะใหม่เกิดต่อ ต่อ ต่อ..อีกเพียงเสี้ยววินาทีข้างหน้า ก็อาจจะเป็นขณะจิตสุดท้ายของชาตินี้ ชีวิตจึงเป็นอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นจริงๆ ฉะนี้แล......อนุโมทนาครับ...
จิตดวงหนึ่งๆ มีอายุสั้นมากเหลือเกิน คือเพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จิตทุกดวงจึงมีอนุขณะ ๓ ขณะ คือ
อุปาทขณะ เป็นขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ตั้งอยู่ ไม่ใช่ขณะที่ดับ
ฐีติขณะ เป็นขณะที่ตั้งอยู่ ไม่ใช่ขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ดับ
ภังคขณะ เป็นขณะที่ดับ ไม่ใช่ขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ตั้งอยู่
ชีวิตไม่ได้เป็นอยู่ในขณะจิตอันน้อยนิด แม้ชีวิตนี้ก็น้อยนัก ลูกรัก หลานรักพากันไปลอยอังคาร คนหนึ่งถือเถ้า กระดูก ห่อด้วยผ้าขาว เป็นหลานรักคนโปรดที่เคยใกล้ชิดกว่าคนอื่น คนหนึ่งเป็นชายศรีษะโล้นเพราะบวชหน้าไฟให้ก็อุ้มหลานตามไป คนหนึ่งเป็นหญิงถือขันน้ำมนต์ อีกสองคนก็ตามไปอาลัย คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ญาติ เห็นก็ต่างมอง ต่างแลไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ทำอะไร ต่างก็ดูเขาทำกิจสุดท้าย กิจอันน้อย กิจสุดท้ายของชีวิต วันนี้ค่ำนี้มืดแล้ว ที่ชายน้ำแห่งนี้ มีกิจสุดท้ายแห่งชีวิต ชีวิตก็น้อยนัก ชีวิตแม้เป็นอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว ก็ไม่ได้เป็นอยู่เลย ขอจงสู่สุคติเถิด ขออนุโมทนา