พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายเรื่องของจักรวาลไว้หรือไม่
เรียน ท่านวิทยากรที่เคารพ
อยากทราบว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหรือกล่าวถึงเรื่องของจักรวาลไว้หรือไม่ และถ้าได้แสดงไว้ กล่าวว่าอย่างไรบ้าง ที่ถามเนื่องมาจากประมาณกว่า 2500 ปีที่แล้ว หากพระพุทธองค์ทรงรู้กล่าวถึงเรื่องของจักรวาลไว้ แสดงว่าวิทยาศาสตร์ก็ตามหลังเพราะกว่าจะพิสูจน์ว่าโลกกลมก็แค่ไม่กี่ร้อยปีมานี่เอง
ขอขอบพระคุณ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมทั้งปวง ทรงรู้แจ้งโลกทั้งหมด ทรงรู้การเกิดขึ้นของโลก การดับของโลก ทางหลุดพ้นจากโลกทั้งปวง พระองค์จึงมีพระนามว่าโลกวิทู คือ เป็นผู้รู้แจ้งโลก
วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ หน้าที่ 264
แก้อรรถบท โลกวิทู (โลกยาววา)
ส่วนที่ทรงพระนามว่า โลกวิทู ก็เพราะทรงรู้โลก แม้โดยประการทั้งปวง แท้จริงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นได้ทรงรู้ คือ เข้าพระหฤทัยปรุโปร่ง ซึ่งโลก โดยประการทั้งปวง คือ โดยสภาวะ โดยสมุทัย โดยนิโรธ โดยนิโรธุบาย (วิธีเข้าถึงนิโรธ) ดังที่ตรัส (แก่โรหิตัสสเทพบุตร) ว่า
"ดูกรอาวุโส ในที่สุดโลกใดแล สัตว์ไม่เกิด ไม่แก่ไม่ตายไม่จุติ ไม่อุปปัติ เราไม่กล่าวที่สุดโลกนั้นว่า เป็นที่จะพึงรู้พึงเห็นพึงไปถึงด้วยการ (เดินทาง) ไป แต่เราก็ไม่กล่าวว่า ยังไม่ถึงที่สุดโลกแล้วจะทำที่สุดทุกข์ได้ แต่เออ เราบัญญัติโลกและโลกสมุทัยโลกนิโรธ โลกนิโรธคามินีปฏิปทา (ลงใน) กเลวระ อันยาวประมาณหนึ่งวา มีสัญญา มีใจ (ครอง) นี้ดอก"
สูตรนี้มีนิคมคาถา ความว่า ที่สุดโลก บุคคลไม่พึง (ไป) ถึงได้ด้วยการ (เดินทาง) ไป แต่ไรมา แต่ว่ายังไม่ถึงที่สุด โลกแล้วแลพ้นทุกข์ได้หามีไม่ เพราะเหตุนั้น แล ท่านผู้ปัญญาดี ผู้ถึงที่สุดโลก อยู่จบ พรหมจรรย์ สงบแล้ว รู้ที่สุดโลกแล้ว จึงไม่ ปรารถนาทั้งโลกนี้ และโลกอื่น * [โลก ๓]
อีกนัยหนึ่ง โลกมี ๓ คือ สังขารโลก สัตวโลก โอกาสโลกในโลก ๓ นั้น สังขารโลก พึงทราบในอาคตสถาน (บาลี) ว่า "โลก ๑ คือสัตว์ทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร ๑" สัตวโลก พึงทราบในอาคตสถาน (บาลี) ว่า " (เห็น) ว่าโลกเที่ยงบ้าง ว่าโลกไม่เที่ยงบ้าง" โอกาสโลก พึงเห็นในอาคตสถาน (บาลีพรหมนิมันตนิกสูตร) ว่า "ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ลอยไปรอบ (จักรวาล ทำให้) ทิศทั้งหลายสว่างไสว โดยที่มีประมาณเท่าใด โลกในที่มีประมาณเท่านั้น มีอยู่ ๑,๐๐๐ ส่วน (คือว่ามี ๑,๐๐๐ โลก) อำนาจ ของท่านปกแผ่ไปในโลกเหล่านั้น"
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงรู้โลกทั้ง ๓ นั้น โดยประการทั้งปวง จริงอย่างนั้น แม้สังขารโลก คือ
โลก ๑ คือสัตว์ทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร
โลก ๒ คือ นาม ๑ รูป ๑
โลก ๓ คือเวทนา ๓
โลก ๔ คืออาหาร ๔
โลก ๕ คือ อุปาทานขันธ์ ๕
โลก ๖ คืออายตนะภายใน ๖
โลก ๗ คือ วิญญาณฐิติ ๗
โลก ๘ คือ โลกธรรม ๘
โลก ๙ คือ สัตตาวาส ๙
โลก ๑๐ คือ อายตนะ ๑๐
โลก ๑๒ คือ อายตนะ ๑๒
โลก ๑๘ คือธาตุ ๑๘
โลก ๓ นี้ พระองค์ทรงรู้โดยประการทั้งปวง
อนึ่ง เพราะเหตุที่พระองค์ทรงรู้อาสยะ (ที่มานอนแห่งจิต) ทรงรู้อนุสยะ (กิเลสที่นอนคือ ตกตะกอน อยู่ในสันดาน) ทรงรู้จริต (ปกติของจิต) ทรงรู้อธิมุติ (ความโน้มเอียงแห่งจิต) ของสัตว์ทั้งปวงหมด ทรงรู้สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย มีกิเลสดุจธุลีในดวงตามาก ที่มีอินทรีย์กล้ามีอินทรีย์อ่อน ที่มีอาการดี มีอาการทราม ที่จะพึง (สอน) ให้รู้ง่าย ที่จะพึง (สอน) ให้รู้ยาก ที่เป็นภัพพสัตว์ เป็นอภัพพสัตว์ * เพราะเหตุนั้น แม้สัตวโลกพระองค์ทรงรู้โดยประการทั้งปวง อนึ่ง สัตวโลกพระองค์ทรงรู้ฉันใด แม้โอกาสโลกก็ทรงรู้ฉันนั้น จริงอย่างนั้น ฯลฯ