ประวัติพวกภิกษุฉัพพัคคีย์

 
แล้วเจอกัน
วันที่  6 เม.ย. 2551
หมายเลข  8018
อ่าน  8,143

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๖๓๑

ประวัติพวกภิกษุฉัพพัคคีย์

ได้ยินว่าชน ๖ คน (๑) ในกรุงสาวัตถีเป็นสหายกัน ปรึกษากันว่า การกสิกรรม เป็นต้น เป็นการงานที่ลำบาก เอาเถิด สหายทั้งหลาย พวกเราจะพากันบวช และพวกเราเมื่อจะบวช ควรบวชในฐานผู้ช่วยสลัดออกเสียในเมื่อมีกิจการเกิดขึ้น (๒)

ดังนี้แล้ว ได้บวชในสำนักแห่ง พระอัครสาวกทั้งสอง. พวกเธอมีพรรษาครบ ๕ พรรษา ท่องมาติกาได้คล่องแล้ว ปรึกษากันว่า ธรรมดาว่าชนบท บางคราว ก็มีภิกษาสมบูรณ์บางคราว มีภิกษาฝืดเคือง พวกเราอย่าอยู่รวมในที่แห่งเดียวกันเลย จงแยกกันอยู่ในที่ ๓ แห่ง

ลำดับนั้น พวกเธอจึงกล่าวกะภิกษุชื่อบัณฑุกะและโลหิตกะว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากรุงสาวัตถีมีตระกูลห้าล้านเจ็ดแสนตระกูลอยู่ครอบครอง เป็นปากทางแห่งความเจริญของแคว้นกาสีและโกศลทั้งสอง กว้างประมาณ ๓๐๐ โยชน์ ประดับด้วยหมู่บ้าน ๘ หมื่นตำบล พวกท่านจงให้สร้างสำนักในสถานที่ใกล้ๆ กรุงสาวัตถีนั้นนั่นแล แล้วปลูกมะม่วง ขนุน และมะพร้าว เป็นต้น สงเคราะห์ตระกูลด้วยดอกและผลไม้เหล่านั้น ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวชแล้วขยายบริษัทให้เจริญเถิด

กล่าวกะพวกภิกษุชื่อว่า เมตติยะและภุมมชกะว่า ท่านผู้มีอายุ ชื่อว่ากรุงราชคฤห์มีพวกมนุษย์ ๑๘ โกฎิอยู่ครอบครอง เป็นปากทางแห่งความเจริญของแคว้นอังคะและมคธทั้งสอง กว้าง ๓ โยชน์ ประดับด้วยหมู่บ้าน ๘ หมื่นตำบล พวกท่านจงให้สร้างสำนักในที่ใกล้ๆ กรุงราชคฤห์นั้นแล้ว ปลูกมะม่วง ขนุน และมะพร้าวเป็นต้น สงเคราะห์ตระกูลด้วยดอกและผลไม้เหล่านั้น ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวชแล้ว ขยายบริษัทให้เจริญเถิด

กล่าวกะพวกภิกษุชื่อว่าอัสสชิและปุนัพพสุกะว่า ท่านผู้มีอายุ ขึ้นชื่อว่ากิฏาคีรีชนบท อันเมฆ (ฝน) ๒ ฤดูอำนวยแล้ว ย่อมได้ข้าวกล้า ๓ คราว พวกท่านจงให้สร้างสำนัก ในที่ใกล้ๆ กิฎาคีรีชนบทนั้นนั่นแล ปลูกมะม่วง ขนุน และมะพร้าวเป็นต้น ไว้ สงเคราะห์ตระกูลด้วยดอกและผลไม้เหล่านั้น ให้พวกเด็กหนุ่มของตระกูลบวชแล้วขยายบริษัทให้เจริญเถิด

พวกภิกษุฉัพพัคคีย์เหล่านั้น ได้กระทำอย่างนั้น บรรดาพวกภิกษุฉัพพัคคีย์เหล่านั้น แต่ละฝ่าย มีภิกษุเป็นบริวาร ฝ่ายละ ๕๐๐ รูป รวมเป็นจำนวนภิกษุ ๑,๕๐๐ รูปกว่า ด้วยประการอย่างนี้

บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุชื่อปัณฑุกะและโลหิตกะ พร้อมทั้งบริวารเป็นผู้มีศีลแล เที่ยวไปยังชนบทเป็นที่จาริกร่วมเสด็จกับพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเธอไม่ก่อให้เกิดเรื่องใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำ แต่ชอบย่ำยีสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว ส่วนพวกภิกษุฉัพพัคคีย์นอกนี้ทั้งหมดเป็นอลัชชี ย่อมก่อให้เกิดเรื่องใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำด้วยย่อมพากันย่ำยีสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้วด้วย. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกะทั้งหลายจึงกล่าวว่า อลชฺชิโน ปาปภิกิขู ดังนี้

(๑) ๖ คน คือ ปัณฑกะ ๑ โลหิตกะ ๑ เมตติยะ ๑ ภุมมชกะ ๑ อัสสชิ ๑ ปุนัพพสุกะ ๑ บวชแล้ว เรียกว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ แปลว่า มีพวก ๖

(๒) นิตฺถเรณกฏฺฐาเนติ อุปฺปนฺนกิจฺจสฺส นิปฺผาทนฏฺฐาเนติ โยชนาปาโฐ ฯ ๑/๔๕๓.


  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 27 เม.ย. 2551

บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุชื่อปัณฑุกะและโลหิตกะ พร้อมทั้งบริวารเป็นผู้มีศีลแล เที่ยวไปยังชนบทเป็นที่จาริกร่วมเสด็จกับพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเธอไม่ก่อให้เกิดเรื่องใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำ แต่ชอบย่ำยีสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว เมื่อ "ชอบย่ำยีสิกขาบทที่ทรงบัญญัติ"

แล้วทำไมจึงยังนับว่า เป็นผู้มีศีลล่ะครับ เป็นอาทิกัมมิกะ ยังพอจะอ้างได้ว่า ไม่รู้ ไม่มีพระบัญญัติห้าม แต่อันนี้รู้แล้วยังย่ำยีอีก

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prachern.s
วันที่ 4 ก.ย. 2552

เข้าใจว่าเมื่อล่วงสิกขาบทแล้วท่านก็กระทำคืน เมื่อกระทำคืนแล้วก็เรียกว่ามีศีลมิใช่หรือ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
suwit02
วันที่ 4 ก.ย. 2552

ถ้าท่านล่วงสิกขาบท โดยเผลอสติไป และได้กระทำคืนแล้ว ถึงจะเรียกท่านว่าพระภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ผมก็อนุโมทนาตามได้ แต่ถ้าท่าน ย่ำยี สิกขาบทที่พระศาสดาทรงบัญญัติ (บ่อยๆ เนืองๆ) เห็นจะเรียกเช่นนั้น ไม่ถนัดปาก เลยอยากทราบว่า คำว่า ย่ำยี สิกขาบท นี้ มาจากพระบาลี ว่าอะไร และมีคำแปลเป็นไทย โดยนัยอื่นๆ ได้บ้างหรือไม่ อย่างไร

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 16 พ.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ