ฉัตตมาณวกวิมาน [ฉัตตมาณวกวิมาน]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 441 ฉัตตมาณวกวิมาน (ว่าด้วยฉัตตมาณวกวิมาน)
ฉัตตเทพบุตรกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า พระศาสดาเสด็จมาพบมาณพในทางนี้ ด้วยพระองค์เอง
เมื่อทรงอนุเคราะห์ จึงได้ทรงพร่ำสอน ฉัตตมาณพนั้นฟังธรรม ของพระองค์ผู้เป็นรัตนะอย่างประเสริฐแล้ว
ได้กราบทูลว่า ข้าพระองค์จักกระทำตามพระองค์ตรัสสอน
พระองค์ตรัสสอนว่า เธอจงเข้าถึงพระชินวร (พระพุทธเจ้า) ผู้ประเสริฐ พร้อมทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ ว่า เป็นสรณะ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญู ทีแรกข้าพระองค์ได้กราบทูล ว่าไม่รู้ (ปฏิเสธ) แต่ภายหลังได้กระทำตามพระดำรัส ของพระองค์ อย่างนั้นทีเดียว
พระองค์ตรัสสอนว่า จงอย่าฆ่าสัตว์ อย่าประพฤติกรรมไม่สะอาดต่างๆ
ผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่สรรเสริญความไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลายเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทีแรกข้าพระองค์ได้กล่าวว่า ไม่รู้
แต่ภายหลังได้กระทำตามพระดำรัส ของพระองค์อย่างนั้นทีเดียว ...
ข้าพระองค์ระลึกถึงกุศลนี้เพียงเท่านี้ กุศลอื่นนอกจากนั้น ของข้าพระองค์ไม่มี ด้วยกรรมอันสุจริตนั้น ข้าพระองค์จึงเกิดในหมู่เทวดาชาวไตรทิพย์ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งที่- น่าปรารถนา ขอพระองค์โปรดดู วิบากแห่งการสำรวมชั่วขณะครู่หนึ่ง ด้วยการปฏิบัติ ธรรมตามสมควร ซึ่งเหมือนรุ่งเรืองอยู่ด้วยยศ
คนเป็นอันมาก ผู้มีกรรมต่ำทรามเพ่งดูข้าพระองค์ ก็นึก กระหยิ่ม
ขอทรงโปรดทอดพระเนตรดูเถิด ข้าพระองค์ถึงสุคติและถึงความสุข ด้วยเทศนาเล็กน้อย ก็หมู่สัตว์ผู้ที่ฟังธรรมของพระองค์ติดต่อ เหล่านั้น
เห็นทีจะสัมผัสพระนิพพานอันเป็นแดนเกษมเป็นแน่ กรรมที่ทำแม้น้อย ก็มีวิบากใหญ่ ไพบูลย์ เพราะธรรมของพระตถาคตแท้ๆ โปรดดูเถิด
เพราะเป็นผู้ได้ทำบุญไว้ฉัตตมาณพจึงเปล่งรัศมีสว่างตลอดแผ่นปฐพี เหมือนดังดวงอาทิตย์
คนพวกหนึ่งประชุมปรึกษากันว่า กุศลนี้เป็นอย่างไร พวกเรา จะประพฤติกุศลอย่างไร พวกเรานั้น ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว พึงประพฤติธรรม มีศีล กันอยู่อีกทีเดียว
ข้อความตอนหนึ่งในอรรถกถา แก้ไว้ว่า
บทว่า อิจฺเจเก หิ สเมจฺจ มนฺตยนฺติ ความว่า คนพวกหนึ่งมาประชุม คือ มาร่วมกันปรึกษา คือวิจารณ์ว่า ทำได้แสนยาก เหมือนพลิกแผ่นดิน และเหมือน ยกเขาสิเนรุ อธิบายว่า แต่พวกเราพึงประพฤติกันได้อีก โดยไม่ยากเย็นเลย
เพราะเหตุนั้นแหละ ฉัตตเทพบุตรจึงกล่าวว่า มยํ เป็นต้น (คือกล่าวว่า พวกเรา นั้น ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว พึงประพฤติธรรม มีศีลกันอยู่อีกทีเดียว) .