สภาพรู้เป็นภายใน อารมณ์เป็นภายนอก คือ ..
การแยกกันของนามรูป ใครประจักษ์บ้าง เล่าให้ฟังบ้าง
ที่ (จิต) ชื่อว่า “หทย” เพราะความหมายว่าเป็นสภาวะอยู่ภายใน จิตเป็นภายใน เพราะเป็นสภาพรู้อารมณ์ที่ปรากฏ อารมณ์เป็นภายนอก เพราะเป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ ฉะนั้นการศึกษาเรื่องจิต จึงเป็นการพิจารณาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ทั้งภายในและภายนอก จึงจะรู้ลักษณะของจิตได้ จิตมีจริง แต่จิตอยู่ไหน จิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นภายใน ในขณะที่เห็นจิตไม่ได้อยู่ข้างนอก สีสันวัณณะกำลังปรากฏภายนอก จิตเป็นสภาพธรรมที่อยู่ภายใน คือ เป็นสภาพธรรมที่กำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา (ปรมัตถธรรมสังเขป หน้า ๕๘)
ผู้ที่ประจักษ์ การแยกกันของนามธรรมและรูปธรรมได้ ผู้นั้นต้องอบรมเจริญสติปัฏฐานจนมีกำลังเป็นวิปัสสนาญาณขั้นแรก ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานในขั้นต้นเมื่อวิปัสสนาญาณยังไม่เกิด ปัญญายังไม่คมชัดถึงระดับการประจักษ์การแยกขาดของนามรูปได้ ความจริงแล้วนามธรรมและรูปธรรมแยกขาดจากกันอยู่แล้วแต่อวิชชาปกปิดความจริงไว้ ทำให้เห็นเสมือนว่ารวมกันอยู่
ธรรมะสามารถพิสูจน์ได้แม้ในขณะนี้ ถ้าขณะนี้ยังไม่รู้ ก็ต้องอบรมด้วยการฟัง การพิจารณาต่อไปจนกว่าจะเป็นปัญญาของบุคคลนั้นเอง รู้ได้เฉพาะตนจริงๆ ค่ะ
การศึกษาธรรมต้องเป็นไปตามลำดับ ขณะนี้รู้หรือยังว่า"เห็น"เป็นธรรมไม่ใช่เราที่เห็น ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะประจักษ์การแยกกันของรูปนาม และไม่ต้องไปคิดด้วยว่าเมื่อไร หรือแม้แต่สติปัฏฐานก็ไม่ต้องไปคำนึงหรืออยากให้เกิด ที่ถูกคือ สะสมความเข้าใจในขั้นการฟังต่อไป เข้าใจในธรรมที่ได้ยินได้ฟังและพิจารณาตามบ่อยๆ เนืองๆ การเจริญปัญญาต้องเป็นของตนเองจริง ไม่ได้เกิดจากการเล่าให้กันฟังครับ
ขออนุโมทนาครับ
แยกรูป แยกนาม ไม่เห็นจะยาก เพราะ รูป-นาม แยกกันอยู่แล้ว รูป เป็นภายนอก นาม เป็นภายใน ระยิบระยับยิ่งกว่าฝุ่นละอองในนภากาศ ตลบอบอวนอยู่ทั่วไป ทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งทางปัญจทวาร และทางมโนทวาร ทั้งที่ปสาทรูป และที่หทยวัตถุ การหนาวที่กาย เป็นรูปหรือนาม ถ้าเป็นรูปก็เป็นภายนอก ถ้าเป็นนามก็เป็นภายใน
ถ้าเป็นเราหนาว ก็เป็นบัญญัติ เอาภายนอกภายในมาปนกัน บัญญัติปิดบังปรมัตถ์ เราก็จะรู้สึกว่าเราหนาวที่กาย เราก็พูดว่าเราหนาวที่กาย ไม่กล้าพูดว่าหนาวที่จิต โดยปรมัตถ์ ทุกวิถีจิตหนาวทั้งหมด ทั้งทางปัญจทวารและทางมโทวาร คือ หนาวที่ปสาทรูปและที่หทัยวัตถุ คนหลับสนิท จิตเป็นภวังค์ หนาว ร้อนฝนตก ฟ้าร้อง ก็ไม่รู้ ต้องรู้ขณะที่ตื่น ที่วิถีจิตระลึกอย่างนี้มันยากตรงไหนครับ
ความรู้เรื่องราว ต่างกับปัญญาที่ประจักษสภาพธรรมะจริงๆ ในสังสารวัฏฏ์แสนยาก หรือบางคนไม่เคยเกิดเลย คือวิปัสสนาญาณขั้นแรก ปัญญาที่สามารถแยกขาดจากนามธรรม รูปธรรม ไม่ง่ายเลย ถ้าประจักษ์กันง่ายๆ ก็มีพระอริยบุคคลมากมาย ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ คุณ narong.p การเห็นรูป-นาม ขั้นต้นต้องเห็นว่าเป็นธรรมก่อน ไม่ใช่เราเห็น ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะประจักษ์การแยกกันของรูปนาม
นามธรรม รูปธรรมไม่ใช่แค่คำพูดและไม่ใช่ว่าใครๆ จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมตามความเป็นจริงกันได้ง่ายๆ หรือเห็นได้ชัดแบบการแยกตัวออกจากกันของน้ำกับน้ำมันหรอกนะคะ
ป.ล. ดีใจค่ะที่เห็นคุณแยกกระทู้ออกมาจากอันเก่าซะที เพราะยาวเหลือเกินต้องคลิกหลายทีกว่าจะอ่านได้หมด เลยตามอ่านได้แค่ไม่กี่หนเองค่ะ
คุณ happyindy ครับ
นามธรรม รูปธรรมไม่ใช่แค่คำพูดและไม่ใช่ตัวอักษรด้วย ไม่ใช่เปรียญธรรมที่จะเรียนให้จบได้แค่เห็นเป็นธรรม ก็ยากแล้ว มีตัวเราทุกที
ค่ะ เป็นเช่นนั้น
ดิฉันเองก็ยังเห็นเป็นเรา
จะเห็นเป็นธรรมนั้น น้อยต่อน้อยจริงๆ ค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
คุณ แล้วเจอกัน คุณ narong.p
พูดถึงการเห็นเป็นธรรม ทำให้ต้องตระหนัก การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ไม่ใช่เรา ก่อนที่จะระลึกความต่างกันของ รูป-นาม
ขออนุโมทนาครับ
แม้ว่าสภาพรู้เป็นภายใน อารมณ์เป็นภายนอก ขณะที่ระลึกได้ก็ยังมีเราอยู่ ขณะที่เห็นอารมณ์เป็นภายนอกนั้นแหละ ความก่อรูปก็เกิดขึ้นแล้ว ขณะความก่อรูปเกิดขึ้นนั้น ความก่อนามที่รู้อารมณ์ก็เกิดทันทีในภายใน คือ เราเป็นผู้ก่อขึ้นอย่างประณีตจึงหาได้ประจักษ์สภาพธรรมไม่
รื่นรมย์ด้วยไม้ใหญ่ รากหยั่งลึกในดินมั่นคง ลำต้นใหญ่ใบหนา แตกกิ่งก้านสาขาส่งกลิ่นหอมหวนทวนลมทั้งราก ลำต้น ใบและดอก ผลหอมหวาน บริเวณชุ่มชื้นด้วยห้วยละหาร ลำธารน้อยใหญ่ไหลมารวมกัน สรรพสัตว์ที่นี้ไม่ถูกเบียดเบียนปราศจากเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ไม่เศร้าหมอง ไม่ทุกข์โศก ไม่หวั่นไหวด้วยลมแรง