กัมมัสกตญาณ - วิปัสสนาญาณ

 
คุณย่า
วันที่  13 เม.ย. 2551
หมายเลข  8171
อ่าน  2,319

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ ฯ
วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ถอดเทป โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

อาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจสภาพธรรมและก็กัมมัสสกตาญาณ จะตลอดไปจนถึงวิปัสสนาญาณ จะไม่สงสัย การที่จะไม่ยึดถือสภาพธรรมเลยก็ต่อเมื่อโสตาปัตติมัคคจิตเกิด ซึ่งเป็นการอบรมเจริญปัญญา มีความเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นจนประจักษ์แจ้งความจริงตามลำดับขั้น

นิรันด์ เพราะว่าก็เป็นเหตุที่อาจารย์บอกว่ากัมมัสสกตาญาณเป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนาญาณ

อาจารย์ หมายความว่า ปัญญาที่รู้กรรมและผลของกรรมเป็นวิปัสสนาญาณ เพราะว่าจะรู้อื่นได้ไหม เพราะฉะนั้น จะมีความมั่นคงในกัมมัสสกตาญาณ เพราะรู้ว่าไม่มีใครสร้าง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ แล้วสภาพธรรมทุกอย่างในขณะนี้เกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่ใครจะรู้ปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมนี้เกิดขึ้น โดยถี่ถ้วน โดยตลอด เพราะฉะนั้น แม้ขณะปฎิสนธิจิตเกิดที่เรากล่าวว่าเป็นผลของกรรม มีกรรมเป็นปัจจัย ก็ยังมีปัจจัยอื่นเกิดร่วมด้วย จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกันในขณะนั้นต่างเป็นวิบาก คือเป็นธรรมที่กรรมทำให้เกิดขึ้นเพราะว่า จิตซึ่งเป็นวิบากและเจตสิกซึ่งเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน โดยวิปากปัจจัย นี่คือ แม้เพียงขณะเดียว จิตและเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน ไม่แยกจากกันเลย เป็นสัมปยุตตปัจจัย ไม่ได้ต่างเป็นนามธรรมและรูปธรรม แต่เป็นนามธรรมทั้งสอง แต่ไม่ใช่สภาพเดียวกัน เพราะสภาพหนึ่งเป็นจิต ส่วนสภาพอื่นที่เกิดร่วมด้วยเป็นเจตสิก นี่คือกว่าจะเข้าใจว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนี้เป็นความจริงทั้งหมดจากการตรัสรู้โดยประการทั้งปวง แต่การที่จะเข้าใจจริงๆ นี้ ต้องเริ่มจากการฟังแล้วก็ไตร่ตรอง ไม่ใช่เพียงฟังเผินๆ ฟังเรื่อยๆ ฟังไปวันหนึ่งๆ

แต่ต้องฟังแล้วคิด ธรรมขณะนี้ ทำไมเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ทางตาก็อย่างหนึ่ง แล้วไหนล่ะคะเป็นเรา สิ่งที่ปรากฏก็เป็นสีสันวัณณะ ต่างๆ ที่กระทบจักขุปสาท และจิตเห็นก็เพียงเกิดเห็นแล้วก็หมดไป ดับแล้ว จะเป็นเราได้อย่างไร เกิดแล้วโดยที่ ไม่ได้ตั้งใจจงใจที่จะมีการสร้างให้เกิดขึ้น แต่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตก็เป็นธรรม ทุกหนทุกแห่ง ทุกเมื่อเชื่อวันกี่แสนโกฎิกัปป์มาแล้ว ก็คือเป็นธรรมทั้งหมด แล้วก็จะมีผู้ที่อบรมปัญญาที่จะตรัสรู้ และทรงแสดง มีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรม และปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เข้าใจ เรื่องกัมมัสสกตาญาณ

อาจารย์ แน่นอนค่ะ

นิรันด์ จนกว่าเป็นปัจจัยให้สติปัฎฐานเกิดและรู้ลักษณะของสภาพธรรม

อาจารย์ รู้ว่าขณะไหนเป็นผลของกรรม และขณะไหนไม่ใช่ผลของกรรมแต่เป็นกรรม อย่างเห็นกับโทสะ เป็นอันเดียวกันหรือเปล่า ไม่ใช่ เห็นไหมค่ะ ต่างกันแล้ว เห็นต้องอาศัยจักขุปสาทและสิ่งที่กระทบในขณะนั้นที่ยังไม่ดับ เป็นอุปัตติเหตุทำให้เกิดเห็นขึ้น แต่ หลังเห็นดับไปแล้ว ก็มีปัจจัยที่จะให้พอใจ ยินดีติดข้อง ซึ่งไม่ใช่ลักษณะเดียวกับเห็น ก็สามารถที่จะรู้ความต่างว่า เห็นไม่ใช่ขณะที่เป็นโลภะโทสะ และเห็นไม่ใช่ขณะที่คิดนึกว่าเป็นสิ่งที่กำลังเห็น รู้แจ้งลักษณะของ สิ่งที่ปรากฏ ปัญญาก็จะเข้าใจธรรมละเอียดขึ้นค่ะ

นิรันด์ ผมต้องขอกราบอนุโมทนาที่อาจารย์ให้ความ เข้าใจโดยละเอียดอย่างมากๆ เลย ขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
wannee.s
วันที่ 13 เม.ย. 2551
เป็นลาภของเราแล้วหนอที่ได้ยินได้ฟังธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prissna
วันที่ 13 เม.ย. 2551

ค่อนข้างยาก ขออ่านใหม่อีกสักหลายๆ รอบก่อนนะคะ

ขออนุโมทนานะคะที่จัดให้.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ