หรือจะทำ...กรรมหนักเสียแล้วเรา
วันหนึ่งได้ฟังการสนทนาธรรมเกี่ยวกับการที่ลูกหลานเห็นว่า บิดาหรือมารดาที่อยู่ในเครื่องช่วยหายใจ เมื่อคุณหมอถามความเห็นว่า จะให้เอาเครื่องช่วยออกหรือไม่ เพราะยังไงก็ไม่ฟื้นอีกแล้ว ถ้าลูกยอมให้เอาออกก็เป็นการเจตนาฆ่า ดิฉันเองก็อยู่ในข่ายนั้น ความรักความสงสารที่แม่ต้องทนทุกข์ทรมาน จึงคุยกับแม่ว่าต่อไปถ้าแม่หยุดหายใจ (แม่บอกว่ามันวูบไป) จะไม่ปั้มหัวใจขึ้นมาอีก เพราะแม่บอกว่าพอฟื้นขึ้นมารู้สึกเจ็บมาก แม่บอกว่า ก็ดีจะได้ไปสวรรค์ เพราะแม่สร้างความดีไว้มากมายระยะนั้น ได้เปิดบทสวดมนต์ ตลอดจนเทปธรรมะต่างๆ ที่กล่าวถึงการปลงใจในเรื่องความตาย แม่บอกว่าพร้อมแล้วที่จะจากไป แม้วาระสุดท้าย ที่แม่ดูเหมือนไม่มีสติ กระสับกระส่าย (หมอบอกว่าไม่มีทางรักษา ให้พาแม่กลับบ้าน) ช่วงนั้นแม่ไม่มีปฏิกิริยาในการรับรู้จากภายนอก ดิฉันรู้สึกเอาเองว่าแม่คงทรมานมาก เพราะไตไม่ทำงาน ไม่มีการระบายของเสียจากร่างกายอีกแล้ว การให้อาหารทางสายยางก็ต้องข้นเหนียว เพราะถ้าร่างกายรับน้ำเข้าไปมาก เมื่อไม่ระบายออกมาจะทำให้ไปท่วมปอด นั่งดูแม่แล้วก็จินตนาการไปต่างๆ นาๆ นั่งเอามือทาบกับตัวแม่นึกในใจว่า แม่จ๋า ถ้าทรมานมากนักแม่ก็ไปเถิดนะ บุญใดๆ ที่ลูกได้สร้างไว้จงช่วยให้แม่เวลาที่วาระสุดท้าย ที่เกิดขึ้นจริงๆ กับแม่ พี่ชายตะโกนบอกให้ใครก็ได้ไปตามหมอ ดิฉันยังถามว่า ไปตามทำไม ความจริงแล้วคือ ต้องให้หมอวินิจฉัยว่า เสียชีวิตแล้ว แม่เสียชีวิตแล้ว แต่ดิฉันรู้สึกหมดกังวล (เดี๋ยวนี้ทราบแล้วว่าบาปมหันต์) ก่อนได้ฟังการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดิฉันคิดเอาว่า ดิฉันทำดี ส่งแม่ไปสวรรค์ แต่พอได้ฟังว่าเวลาที่เราต้องการให้ใครตาย มีเจตนาฆ่า ดิฉันมีเจตนาฆ่าแม่หรือนี่!
ทุกวันนี้ไม่กล้าฟังเรื่องนี้อีก คงต้องก้มหน้ารับกรรมแล้ว... ชาตินี้
ขอเล่าเรื่อง การป่วยหนักของคุณป๋าของป้า ท่านป่วยด้วยโรคไตวาย สัปดาห์สุดท้าย ต่อสายหลายอย่างกับเครื่องช่วยหายใจ ญาติท่านหนึ่งมาเยี่ยม แล้วแนะนำลูกๆ ให้ปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษา เพื่อให้คุณป๋าพ้นทรมาน ด้วยการถอดสายหรือฉีดยาตามแต่แพทย์จะตัดสินใจ ซึ่งป้าบอกทุกคนได้เลยว่า แพทย์ไม่ตัดสินใจให้หรอกค่ะ ญาติต้องตัดสินใจเอง ป้าไม่ได้ทำตามที่ญาติท่านนั้นแนะนำ และอีกสองสามวันต่อมา คุณป๋าก็จากไป ด้วยกรรมของท่านเอง เมื่อภายหลัง ป้าเล่าเรื่องนี้ในการสนทนาธรรมครั้งหนึ่ง และเพื่อนธรรมได้ออกปากว่า ป้าเกือบทำปิตุฆาตเสียแล้ว ดีนะคะ ที่ป้าไม่เชื่อตามคำแนะนำนั้น ไม่เช่นนั้น ป้าจะไม่มีทางเจริญได้อีกเลยในทุกๆ ด้าน คุณเจ้าของกระทู้ต้องแยกแยะว่า องค์ของปาณาติบาต ต้องครบ 5 ค่ะ ศึกษาให้ดี เพื่อคุณจะได้คลายใจ ไม่เป็นทุกข์ โดยไม่เข้าใจให้ถูกต้อง
สิ่งใดที่ผ่านไปแล้ว ก็ให้ผ่านไป กุศลเกิดสลับกับอกุศลเป็นปกติ ให้เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นโดยเฉพาะการอบรมปัญญาด้วยการฟังธรรมทุกๆ วัน เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยให้เราคลายความทุกข์ค่ะ
อ่านหลายรอบมากค่ะ แต่รู้สึกว่าไม่ได้มีเจตนาและไม่ได้บอกให้หมอถอดสายช่วยชีวิตต่างๆ ออกไปไม่ใช่หรือคะ พิจารณาตามที่ป้าจายบอกดูนะคะ ขณะนั้น องค์ของปาณาติบาตครบ ๕ ไหม ไม่อยากให้กังวลใจเลยค่ะ ที่คุณวรรณีกับคุณพาราระวีพูดก็ถูกนะคะ ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไปอบรมเจริญปัญญา ฟังธรรมต่อไปดีกว่าค่ะ ขออย่าให้ความกังวลใจในเหตุที่ผ่านไปแล้ว แก้ไขไม่ได้แล้วเป็นเครื่องปิดกั้นขัดขวางการเจริญกุศลในขณะอื่นๆ เลยนะคะ
ขอเป็นกำลังใจให้อีกคนค่ะ คุณพี่ C.pongsiri
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความโดยตรงจากพระอภิธรรมปิฏก ..
องค์ของปาณาติบาตมี ๕ อย่าง
ขอบพระคุณทุกกำลังใจ รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง คำว่าอนันตริยกรรมมันรุนแรงสำหรับเราเหลือเกิน แต่เมื่อได้พิเคราะห์แล้วว่าถ้าจะเป็นกรรมที่สำเร็จแล้วจริงๆ แก้ไขไม่ได้ก็ปลงใจ เพราะตั้งแต่ได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์ ท่านวิทยากรทุกท่าน รวมทั้งข้อคิดเตือนสติจากสหธรรมมิก (ไม่ทราบใช้คำถูกหรือไม่) ดิฉันรู้สึกอุ่นใจ ความรู้ทางธรรมของดิฉันน้อยเหลือเกิน ได้แต่ฟังธรรมและพยายามตามรู้เท่าที่ระลึกได้ว่าไม่ใช่เรา
ขอกราบละอองธุลีพระบาทระลึกคุณพระศาสดา
กราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์
กราบขอบพระคุณท่านวิทยากรของ มศพ.ทุกท่าน
ขออัญชลีทุกท่านที่ให้ความอบอุ่น
ในที่สุด ขอกราบเท้า แม่ที่รัก ผู้ล่วงลับ หากแม่รับรู้ได้ถึงกุศลที่ลูกทำ ขอให้แม่อนุโมทนาและอภัยให้แก่ลูกด้วย
คุณ C.pongsiri ครับ
ถ้าเป็นอนันตริยกรรมจริงๆ ก็จะรู้สึกได้ไม่ยากครับ คือจะหาความสงบใจได้ยาก ตื่นก็ทุกข์ใจ หลับก็กระวนกระวายไม่เต็มตื่น ฟังธรรมก็ใจเต้นหวาดผวา
น้อมใจพิจารณาพระสัทธรรมไม่ว่าจะเป็นบทใด ก็ไม่แล้วตลอดเรื่อง จะเกิดปิติปราโมทย์ ก็ติดๆ ขัดๆ คุณก็เจริญสติ สภาวะของใจคุณที่ละเอียดประณีตและสงบ ก็ยังเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ในเวลาที่คุณฟังพระสัทธรรม ใช่ไหมครับ
ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของคุณเบิกบาน
ปล. อันนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าของกระทู้เลย นะครับ เคยได้ยินมาว่า ผู้ที่ทำกรรมหนัก ไปแล้ว ถ้าเสียใจ กลับตัว และหาทางบรรเทาผลร้ายเมื่อตกนรกแล้ว ก็ไม่ถึงกับต้องรับโทษไปเต็มๆ ตามที่ ท่านว่าไว้ในคัมภีร์ มีผ่อนผันได้บ้าง และอาจไม่ต้องอยู่ในนั้น นานเท่าที่ว่าไว้ แต่ถ้ามืดมัว ไม่รู้สึกผิดบาปอะไรไปจนตาย อันนี้ก็เต็มๆ แหละครับ
ด้วยอกุศลที่ผมสะสมมา โดยปกติเมื่อตื่นตอนเช้าจะรู้สึกไม่ค่อยสดชื่น เนื่องจากมักฝันไปในเรื่องที่เป็นอกุศลที่ทำให้เกิดโทสะอยู่เสมอ บางเรื่องเป็นการฝันถึงกิจที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ บางเรื่องเป็นกิจไม่ดีที่เคยทำแล้ว ในความฝันนั้นเรื่องราวแม้จะไม่เหมือนความจริงทั้งหมด แต่ก็มักมีเค้าโครงเหมือนชีวิตจริงที่เป็นอยู่ ดังนั้น ทุกเช้าที่ผมตื่น (ประมาณตีห้า) ความคิดแรกคือ อยากกลับไปนอนต่อให้สบายเผื่อจะสดชื่นมากขึ้น ซึ่งได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แต่ความคิดต่อมาซึ่งทำเป็นประจำก็ คือฝืนความง่วงแล้วออกไปเดินออกกำลังกายนอกบ้าน พร้อมทั้งฟัง mp3 ธรรมะที่ท่านอาจารย์แสดง ผลก็คือร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่สดชื่น พร้อมรับกับภารกิจการงานในแต่ละวัน
ในวัยเด็กนั้น ด้วยความซนและเป็นผู้ไม่ได้สดับ ทำให้ผมทำร้ายและฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมากตามประสาลูกชาวสวน อกุศลกรรมเหล่านั้นมักทำให้จิตใจเศร้าหมองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มรู้ว่าอกุศลที่ทำแล้วจะให้ผลเป็นทุกข์ แต่เมื่อฟังธรรมะจนมีความเข้าใจมากขึ้น ทำให้ห่วงกังวลกับอกุศลในอดีตน้อยลง และการระลึกถึงอกุศลที่ทำแล้วก็ทำให้งดเว้นทุจริตกรรมในปัจจุบันได้มากขึ้น .....ทุกครั้งที่ระลึกได้ ผมรู้สึกคลายความกังวลกับอกุศลกรรมที่ทำแล้วในอดีต เหมือนการตื่นจากฝันร้ายแล้วไปออกกำลังกายพร้อมกับฟังพระธรรม แม้รู้ว่าการบรรลุธรรมในชาตินี้คงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีโอกาสสะสมความเข้าใจและบารมีทั้งหลายให้เพิ่มพูนขึ้น อยากจะชวนคุณ C.pongsiri ให้ตื่นจากฝันร้าย ไม่กลับไปหลับไหลต่อ แล้วออกไปบริหารร่างกายและฟังพระธรรมด้วยกันทุกๆ วันครับ