ไม่ค่อยมีความเชื่อเรือง สวรรค์ นรก เทวดา เปรต

 
ผู้แสวงหา
วันที่  20 เม.ย. 2551
หมายเลข  8359
อ่าน  3,442

ผมศรัทธาในศาสนาพุทธ เชื่อเรื่องอริยสัจ ๔ เชื่อกรรม เชื่อวิบาก เชื่อเรื่องนิพพานเชื่อเรื่องบารมี ๑๐ เชื่อการระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง สิ่งที่ได้ฟังได้อ่านเหล่านี้ ในจิตที่ได้โยนิโสมนสิการ แล้วก็เชื่อ แต่เรื่องสวรรค์ นรก เทวดา เปรต นี่มันเป็นอะไรที่พิสูจน์ได้ยาก ที่กล่าวว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ อยากจะถามผู้รู้ว่าจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้หรือไม่ให้ประจักษ์แก่สัมผัสทั้งห้า อย่าบอกว่าให้ใช้ความเชื่อนะ มันไม่อาจทำให้จิตประจักษ์ได้


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
study
วันที่ 21 เม.ย. 2551

ความจริงแล้ว เรื่อง สวรรค์ นรก เทวดา เปรต พรหม ก็ไม่นอกเหนือหรือพ้นไปจากปรมัตถธรรม อริยสัจ ๔ กรรม วิบาก นี่เอง หรือจะกล่าวเพิ่มโดยนัยของ ขันธ์ ธาตุอายตนะ เป็นต้น ก็นัยเดียวกัน การเกิดขึ้นในอบายภูมิ มนุษย์ สวรรค์ พรหม ก็คือปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูป เป็นกองของขันธ์ เป็นธาตุ อายตนะ ที่ประชุมของนามรูปนั่นเอง เพราะมีเหตุคือ อกุศลกรรม กุศลกรรม ที่แตกต่างกัน ผลคือวิบากการเกิดขึ้นในอบายภูมิ ในมนุษย์ สวรรค์จึงมีได้ ส่วนการจะพิสูจน์ให้เห็นมีหลายรูปแบบ คือ การเกิดขึ้นในภูมินั้นๆ ขณะนี้คุณเกิดในโลกมนุษย์ โลกมนุษย์มีจริงสำหรับคุณ สัตว์เดรัจฉานคุณก็เห็นอยู่แต่สัตว์ในภูมิอื่นๆ ที่มีมิติต่างกัน ต้องอาศัยความรู้พิเศษ คือ อภิญญาจิต ถ้าคุณมีอภิญญาจิตคุณสามารถเห็นสัตว์ในภูมิอื่นได้มากกว่าตาธรรมดาของคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ajarnkruo
วันที่ 21 เม.ย. 2551

สิ่งที่ไม่ได้เห็นทั้งหมด ไม่ควรสรุปว่าไม่มีสิ่งที่ได้เห็นทั้งหมด ไม่ควรสรุปว่าเป็นจริงตามนั้นขณะที่กำลังเห็นอยู่นี้จิตเห็น หรือเราเห็นจิตเห็น หรือจิตคิดหรือเราคิด เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้รู้ในสิ่งที่ไม่เกินวิสัยที่จะรู้ดีกว่าไหมครับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจจะให้รู้ชัด รู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้จริง รู้ละเอียด รู้ลึก ก็ยังไกลไปแต่แค่เพียงรู้ว่าไม่ใช่เรา รู้หรือยัง รู้ขั้นไหน? ฟัง หรือ คิด หรือ ประจักษ์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sam
วันที่ 21 เม.ย. 2551

ความเชื่อที่ปราศจากความเข้าใจ ไม่ใช่ความเชื่อในพระพุทธศานา หากศึกษาจนมีความเข้าใจ (ปัญญา) แล้ว จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าควรเชื่อในสิ่งใด

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
dron
วันที่ 21 เม.ย. 2551

ยากครับที่จะอธิบายเรื่องนี้ ถ้ามีความเข้าใจธรรมมากขึ้นก็จะมีความเข้าใจภพภูมิอื่น แต่การศึกษาพระธรรมที่กำลังศึกษาเป็นการศึกษาขั้นเรื่องราวไม่ได้ศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง แม้แต่ในชีวิตประจำวันสิ่งที่เห็นไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคลหรือสิ่งของ ยังไม่รู้เลยว่าไม่ใช่ของจริง ยังมีความยึดมั่นถือว่ามีอยู่จริง ถ้าเราเห็นคน เห็นสัตว์เราก็บอกว่ามีอยู่จริง หรือบางคนอาจจะเคยเห็นเทวดาหรือ เห็นเปรต ก็จะบอกว่าภพนั้นมีจริง แต่ก็ต้องสงสัยต่อไปว่าอสุรกาย พรหม อรูปพรหมมีไหมไม่จบสิ้น สงสัยจะต้องเห็นให้ครบ แต่การศึกษาธรรมมะให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่มีคน มีเทวดา มีรูปพรหม มีอรูปพรหม มีสัตว์เดรฉาน มีเปรต มีอสุรกาย มีสัตวนรก เพราะมีปรมัตถธรรม มีจิต มีเจตสิก รูปจึงมีภพภูมิต่าง

ถ้าเป็นผู้มีศรัทธาเชื่อเรื่องสภาพธรรมมะตามความเป็นจริง แล้วจะไม่เชื่อภพภูมิอื่น ผมว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะสภาพธรรมมะตามความเป็นจริงขึ้นเกิดและดับไป จุติจิตเกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ยกเว้นจุติจิตของพระอรหันต์

เรียนคุณ suwit02 (ต้องขออภัยที่จะกล่าว) สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะครับ ถ้าไม่มีภพภูมิ หรือเชื่อว่าตายแล้วสูญก็ไม่ต้องศึกษาธรรมมะ ขอแค่นี้ก่อนครับ (ต้องไปธุระ)

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 21 เม.ย. 2551

พระพุทธเจ้าทรงแสดงแต่ความจริง นรก สวรรค์ เปรต มีจริง หรือแม้แต่ในขณะที่เรา

เป็นมนุษย์อยู่นี้ก็เป็นความจริง ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนานนี้ เราก็เคยเป็นสัตว์ในนรกเปรต เกิดในสวรรค์มาแล้วทั้งนั้น แต่เราจำไม่ได้ คนที่จะรู้จริงๆ ก็ต้องไปเกิดในภพภูมินั้น แต่ที่สำคัญที่สุด คือการศึกษาธรรมะเพื่อรู้ความจริงในขณะนี้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 21 เม.ย. 2551

ภพภูมิต่างๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้นั้น มีจริง เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรม ครับ ตราบใดที่ยังมีความยึดถือในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคล ก็มีปัจจัยให้เกิดภพชาติต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเหตุว่า ภพชาติ มี เพราะอวิชชา (ความไม่รู้) และตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ผู้แสวงหา
วันที่ 21 เม.ย. 2551

ผมอยากจะได้ข้อพิสูจน์ ว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงหรือไม่ ไม่ต้องการ" ความเชื่อ" หรือฟังมาว่ามีหรือไม่มี เพราะในพุทธศาสนาพูดถึงสิ่งเหล่านี้มาก แต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 21 เม.ย. 2551

อะไรที่เราไม่เห็น หรือเราพิสูจน์ไม่ได้จะบอกว่าไม่จริง ไม่ได้ค่ะ เปรียบเหมือนเรามี

กำลังความสามารถเท่ามดตัวเล็กๆ แล้วคนที่เขามีความสามารถมีกำลังปัญญาเท่า

ช้าง เขาพิสูจน์ได้ก็มี แต่เราไม่รู้ คุณต้องทำเหตุคืออบรมปัญญาจนกว่าจะถึงจุดนั้นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 21 เม.ย. 2551

ในโลกมนุษย์ยังมีสัตว์เป็นพันๆ ชนิด วิจิตรต่างกันตามกรรม เวลาเราไปตลาดเคย

เห็นเขาฆ่าปลาไหม กบไหม หรือฆ่าไก่ ฆ่าเป็ด เสร็จแล้วก็ไปใส่ในน้ำเดือดๆ นั่น

แหละนรกของปลา กบ ไก่ หรือโรงฆ่าหมู โรงฆ่าวัว ฯลฯ แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ในขณะนี้

เห็นมีจริงเป็นธรรมะ เห็นเป็นนามธรรม สิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรม อบรมปัญญาขั้นไปก่อนค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
suwit02
วันที่ 21 เม.ย. 2551
ที่นี่น่ารื่นรมย์ สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Idoitforyou
วันที่ 21 เม.ย. 2551

อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 8 โดย ผู้แสวงหา ผมอยากจะได้ข้อพิสูจน์ ว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงหรือไม่ ไม่ต้องการ" ความเชื่อ" หรือฟังมาว่ามีหรือไม่มี เพราะในพุทธศาสนาพูดถึงสิ่งเหล่านี้มาก แต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่


เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับจูฬมาลุงกยโอวาทสูตร ...

ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์และไม่ทรงพยากรณ์

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ป้าจาย
วันที่ 22 เม.ย. 2551
พุทธศาสนาพูดถึงหลายสิ่ง เพราะพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว้างไกลท่านเห็นมากกว่าเรา
ป้าไม่คิดจะร่วมพิสูจน์หรือชักจูงใจให้คุณเชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่อยากท้าให้คุณพิสูจน์ว่า สภาพธรรมมีจริงหรือเปล่า แค่คุณหลับตา แล้วยื่นมือไปสัมผัสอะไรก็ได้ ข้างหน้าตัวคุณ แล้วกรุณาตอบคำถามของป้าว่า คุณสัมผัสอะไร
เช่น ถ้าคุณสัมผัสสิ่งหนึ่ง แล้วคุณตอบว่า ตลับเทปคำตอบนี้ ไม่ใช่สภาพธรรม
หรือตอบว่า เป็นก้อนสี่เหลี่ยม มีขอบแข็งๆ ผิวสากคำตอบนี้ ก็ไม่ใช่สภาพธรรม
เพราะทันที ที่ได้สัมผัส จิตจะรู้สภาพแข็งหรืออ่อน ร้อนหรือเย็น ตึงหรือไหวก่อนค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Sam
วันที่ 22 เม.ย. 2551

อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 8 โดย ผู้แสวงหา ผมอยากจะได้ข้อพิสูจน์ ว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงหรือไม่ ไม่ต้องการ" ความเชื่อ" หรือฟังมาว่ามีหรือไม่มี เพราะในพุทธศาสนาพูดถึงสิ่งเหล่านี้มาก แต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่


พุทธศาสนาเป็นคำสอนที่พิสูจน์ได้ครับ แต่การพิสูจน์สิ่งใดนั้น ก็ต้องมี "เครื่องมือ"และ"ความรู้"ที่เหมาะสมและเพียงพอจึงจะทำได้ เข้าใจว่าคุณผู้แสวงหาคงได้รับการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์มาพอสมควร ดังนั้น ก็คงมีความรู้ว่า การพิสูจน์ทฤษฎีที่สลับซับซ้อนนั้น ต้องอาศัยความรู้ขั้นพื้นฐานตั้งแต่คณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ หาร แล้วจึงค่อยๆ เรียนวิชาชีวะ ฟิสิกส์ เคมี ฯลฯ การที่จะให้นักเรียนชั้นประถมพิสูจน์ทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้านักเรียนคนนั้นมีความตั้งใจจริงที่จะพิสูจน์ เขาก็ย่อมศึกษาไปตามลำดับจนเข้าใจทฤษฎีนั้นได้ในที่สุด ที่ผมยกตัวอย่างข้างต้น ไม่ได้มีจุดประสงค์จะส่อเสียด หรือแสดงว่าตัวเองสามารถมองเห็นสวรรค์หรือนรก เพียงแต่ต้องการแสดงให้เห็นว่าผลใดๆ ต้องสมควรแก่เหตุครับ ในทางพระศาสนานั้น ผมมีความรู้เพียงขั้นประถมต้นๆ แต่เริ่มเห็นแนวทางแล้วว่าหากต้องการพิสูจน์ความจริงตามพระพุทธพจน์ จะต้องสะสมเหตุอะไรบ้าง และต้องใช้เวลาอีกแสนนาน สุดท้ายแล้ว คำถามคงย้อนกลับไปที่คุณผู้แสวงหาครับว่า มีความตั้งใจมั่นคงที่จะพิสูจน์พระพุทธพจน์หรือไม่ และหากคำตอบคือใช่ หนทางคือการศึกษาที่ต้องเริ่มจากการพิสูจน์หัวข้อพื้นฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ในปัจจุบันครับ เช่น คำถามว่า การเห็นคืออะไร? และขณะนี้คุณผู้แสวงหามีการเห็นพร้อมกับการได้ยินหรือไม่? หากเราได้ทำบุญร่วมกันไว้แต่ปางก่อน หวังว่าคำตอบของผมคงไม่ขัดกับอัธยาศัยของคุณผู้สงสัยจนมากเกินไปนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
prissna
วันที่ 22 เม.ย. 2551

พิสูจน์ได้...ก็ต่อเมื่อไปเกิดในภูมินั้นๆ เช่น ขณะนี้ เกิดในภูมิมนุษย์....จำไม่ได้ว่าชาติก่อนเกิดเป็นอะไรและไม่รู้ว่าเกิดด้วย วิบาก ไหนที่ได้เคยสะสมไว้ใน จิต

และไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไร กุศลวิบากที่เคยสะสมไว้จะทำให้หมดสภาพความเป็นมนุษย์หากเกิดเป้นสัตว์ก็จำไม่ได้ว่าชาติก่อนเคยเกิดเป็นอะไรเป็นเทวดา....จำได้แน่ว่าชาติก่อนเป็นอะไรเพราะเกิดทันทีโตทันทีจึงจำได้เป็นเปรต...ก็เกิดทันที โตทันที จึงจำชาติที่แล้วได้....................ที่สำคัญ...ชาตินี้พิสูจน์ได้ว่ามีภูมิมนุษย์แน่ๆ ...ได้พบพระธรรมของพระพุทธเจ้าหากเจริญเหตุดี...มีโอกาสเจริญกุศลทุกอย่าง............

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ผู้แสวงหา
วันที่ 22 เม.ย. 2551

ถ้าสวรรค์มีจริง สงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งบำเพ็ญพระบารมีอย่างยิ่งยวด

ในชาติสุดท้ายน่าจะตรัสรู้ในภพภูมิของสวรรค์ชั้นสูงสุด

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
study
วันที่ 22 เม.ย. 2551

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมตรัสรู้ในภูมิมนุษย์ เพราะเป็นภูมิที่แม้เทวดา

และพรหมก็มาฟังได้ มนุษย์ก็ได้รับประโยชน์ และเป็นภูมิที่ ความแก่ ความเจ็บ

ความตาย ปรากฏชัด ถ้าตรัสรู้ในภูมิอื่น มนุษย์ก็หมดโอกาสได้ฟังพระธรรม..

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ผู้แสวงหา
วันที่ 22 เม.ย. 2551

ที่คุณ study กล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานจากพระไตรปิฏก หรือว่าคิดๆ เดาๆ เอาเองครับ

แต่ในพระไตรปิฏกมีกล่าวว่าถ้ามีกุศลมากขึ้น ก็จะไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่หรือครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
อิสระ
วันที่ 22 เม.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
wannee.s
วันที่ 22 เม.ย. 2551

ตอบความเห็นที่ 18

ที่คุณStudy ตอบถูกแล้วค่ะ มีแสดงไว้ในพระไตรปิฏก และอีกอย่างถ้าเราไปเกิดบน

สวรรค์ชั้นดุสิต เราก็สามารถลงมาชั้นดาวดึงส์ได้ แต่ถ้าเราเกิดสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิ

กาเราจะขึ้นไปสวรรค์ชั้นสูงไม่ได้ค่ะ และพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็ต้องมาเกิดเป็น

มนุษย์เพื่อโปรดสัตว์โลกค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
wannee.s
วันที่ 22 เม.ย. 2551

ที่คุณผู้แสวงว่ามีกุศลมากขึ้นไปเกิดภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่เสมอไป แล้วแต่การสั่งสมมา

ไม่เหมือนกัน เช่น พระเจ้าพิมพิสารทำบุญไว้มากบรรลุเป็นพระโสดาบันแต่ท่านก็ไป

เกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ฯลฯ คนที่บรรลุเป็นพระโสดาบันตายไปก็มีแต่ไป

สุคติภูมิและบรรลุธรรมสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์และ

ปรินิพพานบนสวรรค์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
ผู้แสวงหา
วันที่ 23 เม.ย. 2551

เรียน คุณ wannee.s บอกตรงๆ ว่าผมยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง และยังสงสัยเช่นเดิม

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
Sam
วันที่ 23 เม.ย. 2551
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 16 โดย ผู้แสวงหา

ถ้าสวรรค์มีจริง สงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งบำเพ็ญพระบารมีอย่างยิ่งยวด

ในชาติสุดท้ายน่าจะตรัสรู้ในภพภูมิของสวรรค์ชั้นสูงสุด


หากจะตอบคำถามนี้ ต้องเข้าใจก่อนครับว่า พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพระบารมีเพื่ออะไร? พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อความสุขส่วนตนหรือบรรลุธรรมเพียงผู้

เดียว แต่ทรงบำเพ็ญเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้พ้นทุกข์ได้ด้วย ซึ่งการบำเพ็ญเพื่อ

การดับทุกข์เฉพาะตนไม่ต้องใช้การอบรมสั่งสมบารมีมากเท่ากับการมีความสามารถใน

การช่วยคนอื่นได้ด้วยครับ แล้วทำไมจึงทรงมาเกิดที่ภูมิมนุษย์? อันนี้พิจารณาได้จากการช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก

ครับว่า หากเราอยากบริจากสิ่งของให้ผู้ยากจนเราควรไปที่ใด ควรไปในที่ขาดแคลน

หรือควรไปในที่ที่ทุกคนมีทรัพย์บริบูรณ์ ควรไปในที่ที่คนรู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งของเหล่านั้นหรือไปในที่ที่คนไม่เห็นประโยชน์และไม่เห็นความจำเป็น จึงจะทำให้สิ่งของที่เตรียมมาแจกนั้นเป็นประโยชน์สูงสุด สมกับที่พากเพียรรวบรวมสิ่งของเหล่านั้นมาอย่างยากลำบาก ส่วนประเด็นในการเกิดในเทวภูมิชั้นต่างๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครทำบุญมาแค่ไหน

เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการสะสมความพอใจด้วยว่าชอบใจที่จะมีชีวิตในระดับไหน

ขอเปรียบเทียบการใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ครับว่า คนมีเงินมากก็ไม่ได้ชอบอยู่อย่าง

หรูหราที่สุดไปเสียทุกคน ในขณะที่บางคนที่มีเงินน้อยกว่านั้นแต่ชอบที่จะใช้ชีวิตอย่างหรูหราที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และยังมีคนรวยบางคนที่สละความสุขทั้งหลายอุทิศตนเพื่อสังคมในชนบทอีก ซึ่งตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของ จิต ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
บักกะปอม
วันที่ 25 เม.ย. 2551
ถ้าไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ เปรต....แสดงว่า ยังเข้าใจพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าสนใจจะรู้จริงๆ ต้องศึกษาก่อน ไม่ควรคิดเอาเอง
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ