สติปัฏฐาน คือ เรือใช้ข้ามฝั่ง ถึงฝั่งแล้ว จะทิ้งเรือเสียก็ได้หรือ?
ผมเข้าใจว่าประเด็นที่ท่าน lichinda ยกมาคนละนัยกันครับพระอรหันต์ไม่มีสติปัฏฐานตลอดเวลา เพราะกิจในชีวิตประจำวันของท่าน เช่นเข้าห้องน้ำ ขับถ่าย สรงน้ำ ฉันอาหาร เป็นต้น มหากิริยาญาณวิปยุตย่อมเกิดขึ้นขณะนั้นไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยไม่มีสติปัฏฐาน หรือแม้อเหตุกจิตทั้งหมด ก็ไม่มีสติเกิดร่วมด้วย ส่วนผู้ถึงฝั่งคือพระนิพพานแล้วกิจที่ต้องใช้เรืออีกย่อมไม่มีฉันใดพระอรหันต์ที่เข้าสู่พระนิพพานคือดับขันธปรินิพพาน ย่อมไม่อาศัยกายนี้อีกต่อไปก็ฉันนั้น
พระอรหันต์ท่านเปรียบเหมือนลูกจ้างที่รอเวลาเลิกงาน ท่านไม่มีกิจที่จะต้องทำอีกต่อไปค่ะ
ก่อนจะถึงฝั่งพระนิพพาน แม้จะมีสติปัฏฐานเกิดมากมาย แต่เมื่อเกิดพร้อมจิตใด จิตนั้นทำกิจแล้วดับ เป็นปัจจัยอยู่แล้ว เจตสิกก็ต้องดับตามจะไปยึด ไปถือเอาไว้อย่างไรเล่าคะ ไม่เคยมี มี แล้วก็หามีไม่ เป็นสภาพของรูปนามทั้งหมด ยกเว้นพระนิพพานตั้งหลายๆ กระทู้โดยมีเนื้อหาเดียวกัน เพื่ออะไรเล่าคะ
คำที่ป้าพิมพ์ไว้ แล้วคุณได้ยกมาเป็นปุจฉา ทำให้คุณลำบากใจมากไปหรือเปล่า
ตั้งหลายกระทู้แต่มีเนื้อหาเดียวกันก็จริง แต่แยกประเด็น เพราะต้องการเจาะที่ประเด็นเนื่องจากบางครั้งท่านผู้รู้อยากให้ไปอ่าน ไปศึกษา ไปทำการบ้าน เหมือนไปทานยาที่ไม่ถูกกับโรค ผมก็เคยทานยานั้นมาแล้ว แต่มันยังไม่ดีขึ้น จึงต้องการถามแบบตรงไปตรงมา และบางครั้งตั้งกระทู้ คนอ่านตั้งสิบกว่าท่านแล้ว ไม่มีคนตอบ เลยต้องตั้งกระทู้ให้มันน่าสนใจ ป้าปุจฉาไม่ทำให้ผมลำบากใจเลย แต่เกิดกุศลจิตทางมโนทวารต่อๆ มาหลายเพลา จึงตั้งกระทู้หลายกระทู้และมีเนื้อหาเดียวกันครับ
ส่วนอินดี้ อ่านคำถามแล้ว อ่านคำตอบจากคคห ๑-๓ แล้ว เข้าใจคำตอบแล้วค่ะ ถึงจะยังไม่ได้ประจักษ์ก็เถอะ (เพราะเป็นจิรกาลภาวนา)
ขอบพระคุณและขออนุโมทนานะคะ
ทิ้งเรือเมื่อดับขันธ์แล้ว แต่เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ โดยมาก ก็จะมีการเข้าผลสมาบัติตามอัธยาศัยของแต่ละท่าน
พระอรหันต์ มาจากการเจริญสติปัฏฐานบรรลุขั้นสูงจนจิตหมดกิเลสเป็นสมุทเฉทหากท่านปรินิพพานทันที ก็ไม่ต้องเจริญสติปัฏฐานอีกต่อไปแต่ถ้ายังไม่หมดกรรม (วิบาก) ท่านต้องอยู่ในเพศบรรชิตเท่านั้นจนกว่าท่านจะปรินิพพาน ท่านจึงจะไม่ต้องมีสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่และไม่ต้องใช้จิต เจตสิก (ชาติวิบากและกิริยา) และกาย (รูป) อีกต่อไป