ทั้งไม่รู้และเพลิน ปัญญาจะเจริญได้อย่างไร
สนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม
ที่มูลนิธิฯ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พ.ย. ๒๕๕๐
สุกัญญา ถ้าลักษณะของสัจธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ที่เป็นปรมัตถธรรมนี้ ในสัญญาที่ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้จริงๆ แต่ว่าจากการศึกษา จะอยู่ในลักษณะของความเข้าใจได้ แล้ววันหนึ่งๆ ก็มีแต่ความไม่รู้ แล้วหลงเพลิดเพลินไปในชีวิตประจำวัน แล้วปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไรคะ
อาจารย์ ปัญญา มี ๓ ขั้น หรือขั้นฟังเพียงอย่างเดียว
สุกัญญา มี ๓ ระดับค่ะ...
อาจารย์ มี ๓ ระดับ ขณะที่ฟัง มีความเข้าใจในขณะที่ฟัง มีการคิดนึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วมีความเข้าใจว่าขณะนี้ที่ฟัง เป็นสัญญาที่เป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ ขั้นเข้าใจ แต่ไม่สามารถที่จะรู้จักตัวธรรมตามที่ได้ยินได้ฟังได้เลย แม้ว่ากำลังมี เช่น เห็น กำลังเห็น พูดเรื่องเห็น เห็นมีจริง เห็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็เป็นเพียงธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งจะไม่ปรากฏ ถ้าไม่มีการเห็น สิ่งนั้นจะไม่ปรากฏเลย แต่เวลาที่มีสัจธรรมที่เกิดขึ้น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ สัจธรรมกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ก็มีจริงๆ นี่คือฟังให้เข้าใจ ขณะที่กำลังฟัง เข้าใจตามที่ได้ฟังหรือเปล่า นี่เป็นขั้นต้น
เมื่อรู้ว่าสัจธรรมเป็นจริงอย่างนี้ สามารถที่จะประจักษ์ธาตุที่กล่าวถึงที่กำลังปรากฏ โดยการแทงตลอดความจริงของสัจธรรมได้ไหมว่าสัจธรรมนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะไม่มีการเห็น แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ต้องเกิดด้วยเมื่อเกิดแล้วยังต้องกระทบกับจักขุปสาท ถ้าไม่กระทบกับจักขุปสาท เช่น สีสัน วรรณะ ที่อยู่ข้างหลังไม่ปรากฏเลยเพราะว่าไม่ได้กระทบกับจักขุปสาท แต่สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏให้เห็นในขณะนี้กระทบกับจักขุปสาทแล้วจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงปรากฏ
เพราะฉะนั้น เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ปัญญาสามารถที่จะอบรม จนประจักษ์แจ้งแทงตลอด เป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเนื่องมาจากขั้นการฟัง ถ้าความเข้าใจขั้นการฟังไม่เป็นอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะประจักษ์แจ้งความของสัจธรรมได้เพราะฉะนั้นเมื่อได้มีโอกาสฟังพระธรรม ก็ควรที่จะได้รู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง เรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ “ ให้เห็นแจ้งประจักษ์จริงๆ ว่าสิ่งนั้นเป็นธาตุแต่ละอย่าง ไม่ใช่เรา ” ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้น จะไม่มีการละคลายติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เสมือนว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่เกิดดับเลย เพราะฉะนั้น ก็ยังคงต้องติดข้องต่อไป แต่ว่าปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ คลาย จนสามารถที่จะทำให้มีปัญญา พร้อมดับสติสัมปชัญญะ ที่กำลังรู้ ตรงลักษณะของสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง
ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังพูดเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏ สามารถที่จะมีการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งคลายการไม่รู้ เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ยินก็มี คิดนึกก็มี สุขก็มี ทุกข์ก็มี เฉยๆ ก็มี ทั้งหมดเป็นธรรมะ ไม่มีสักอย่างเดียวที่เกิดปรากฏแล้วไม่ใช่ธรรมะ แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น กว่าจะฟังเข้าใจ แล้วอบรม จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ตรงลักษณะที่ปรากฏด้วยปัญญาที่เพิ่มขึ้น จึงสามารถคลายการที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะว่าเมื่อใดที่ถามก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งนั้นเลย เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ว่าต้องสะสมความเห็นถูก จนกว่าจะมีกำลัง จนสามารถที่จะรู้ว่า เรื่องความคิดเป็นเรื่องราวแต่ว่าสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ไม่ได้คิด เกิดแล้วตามเหตุ ตามปัจจัยแล้วปรากฏ ซึ่งสิ่งที่เกิดแล้ว เกิดดับด้วย เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังฟังอย่างนี้ แล้วเวลาที่สติสัมปชัญญะกำลังรู้ตรงลักษณะ จะรู้ได้เลยถึงความต่างกันของลักษณะที่คิด หมดแล้วไม่เหลือเลย แต่สิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏนี้แหละ ที่จะทำให้เข้าใจ
ความจริงของสิ่งนั้นว่า ไม่มีอะไรนอกจากสัจธรรม ไม่ใช่เรื่องที่เราคิดไม่ใช่เรื่องเก้าอี้ แต่เป็นลักษณะของธรรมะที่มี ที่กำลังปรากฏให้รู้ว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด
เรียนถามปกติ เมื่อเห็น มักจะ เป็นสิ่งต่างๆ เสมอ ทันทีเลยถ้าสติเกิด ผู้มีปัญญา เห็นแล้ว ปัญญารู้อะไร และอย่างไรขออนุโมทนา
“ ให้เห็นแจ้งประจักษ์จริงๆ ว่าสิ่งนั้นเป็นธาตุแต่ละอย่าง ไม่ใช่เรา ” ผมขอถามด้วยความเคารพว่า ไม่ใช่เรา คือ อะไรครับ
ที่ว่าไม่ใช่เรา คือ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่อัตตาของเรา เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงความจริงว่า ทุกสิ่งเป็นเพียงธาตุ เป็นเพียงธรรมแต่ละอย่าง เราจะมีได้อย่างไร แต่ปุถุชนมีความสำคัญผิดว่า เป็นเรา
"แต่สิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏนี้แหละ ที่จะทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้นว่า ไม่มีอะไรนอกจากสัจธรรม"
กราบอนุโมทนาครับ
ขอขอบพระคุณ และ อนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของสหายธรรมทุกท่าน