ผู้มีปัญญา ไม่ควรประมาท
ทุกท่านอยากจะมีแต่กุศลจิตใช่ไหมคะ ในวันหนึ่งๆ ....ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมแล้ว..อยากจะมีแต่อกุศลจิต คือ ชอบโลภะค่ะ อยากจะมีแต่โลภะ ทางตาให้เห็นสิ่งที่น่าดู ทางหูก็ให้ได้ยินเสียงที่เพราะ ทางจมูกก็ชอบดอกไม้กลิ่นหอมๆ เป็นต้น ทางลิ้นก็ชอบรสกลมกล่อมอร่อย ทางกายก็ไม่ชอบร้อนนักหนาวนัก เดี๋ยวก็เป็นหวัด เป็นไข้ ก็ไม่มีใครชอบ เพราะฉะนั้น ทุกคนก็อยากจะมีแต่โลภะ
แต่พอศึกษาแล้ว..แม้แต่จะดูหนังก็กลัว เพราะเหตุใดคะ? ..ไม่อยากจะมีโลภะ แม้ว่ายังมีอยู่ แน่นอนค่ะ ยังไม่หมด เพราะฉะนั้น จะต้องรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า การที่จิตก่อนที่จุติจะเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะถึงแม้ว่าใครอยากจะอ้อนวอน ขอร้องให้กุศลจิตเกิดก่อนจุติ ก็ไม่มีทางจะเป็นไปได้ แล้วแต่กรรมซึ่งเป็นชนกกรรม คือ กรรมที่จะให้ผลทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดต่อจากจุติจิต ซึ่งต่อไปจะทราบเรื่องประเภทของกรรมต่างๆ ว่ามีกรรมกี่ประเภท แล้วก็มีกิจอะไรบ้าง แล้วก็กระทำกิจ หรือให้ผลในกาลไหนบ้าง
ซึ่งเป็นเรื่องของอนัตตาทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลยเพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรจะประมาท เพราะรู้ว่าอกุศลล้อมรอบทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หลงลืมสติขณะใด ไม่พ้นจากอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดเลย
เมื่อเป็นผู้ที่ไม่ประมาท และเห็นว่าช่างมีอกุศลมากจริงๆ จึงเป็นผู้อบรมเจริญกุศลทุกประการ โดยไม่ประมาท เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้ที่สะสมเหตุคือ กุศล โดยไม่ประมาท ย่อมอาจเป็นปัจจัยให้กุศลจิต ซึ่งเป็นผลของกรรมที่เป็นกุศล ที่เป็นชนกกรรมทำให้กุศลจิตเกิดก่อนจุติจิตเกิด แล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากเกิดในสุคติภูมิ เช่น ชาตินี้เกิดแล้วในสุคติภูมิ ชาติก่อนเตรียมตัวมาหรือเปล่าคะ เตรียมตัวก่อนจะจุติชาติก่อนหรือเปล่าคะ? ไม่ทัน แต่ว่ามาแล้ว มาสู่สุคติภูมิตามกรรม
เพราะฉะนั้น ก็เตรียมอย่างนี้แหละค่ะ ชีวิตประจำวัน เมื่อยังเป็นผู้ที่มีกิเลสมาก มีอกุศลมาก ก็เป็นผู้ที่อบรมเจริญกุศลโดยไม่ประมาท เพราะว่าสังสารวัฏฏ์ข้างหน้ายังอยู่อีกมากมายเหลือเกิน ถ้ายังไม่เป็นพระอริยบุคคล
บรรยายโดย ท่าน อ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์คัดลอกข้อความบางตอนมาจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ ๙๙๙
อาศัยการฟังธรรมะทุกๆ วัน ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น กุศลก็เจริญขึ้น การให้อภัยคนอื่น
ก็ง่ายขึ้น และเมตตาได้กับทุกคน ทั้งคนดี และคนไม่ดีค่ะ
ข้อความที่นำมาลงดีมากค่ะ แต่รูปภาพไม่สัมปยุต
เลยไม่แน่ใจว่าท่านต้องการจะสื่ออะไร
ขอขอบพระคุณ คุณไตรสรณคมณ์ ที่ได้กรุณาเตือนครับ ความจริงก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยดี ในการนำเสนอทำนองนี้ครับซึ่งคราวหน้าก็จะขอปรับปรุงใหม่ครับแต่ตอนที่ได้ทำกระทู้นี้ คิดเพียงแต่ว่าอยากได้รูปที่เป็นจักรวาล เพราะอยากจะสื่อให้ผู้อ่านเมื่ออ่านไปจนถึงความคิดเห็นที่ ๔ แล้วบางท่านอาจจะเกิดความคิดขึ้นมาว่าเรามาจากจักรวาลใด ภพภูมิไหน เราก็ไม่รู้เพราะเราจำเรื่องราวชาติก่อนๆ ไม่ได้เลย (รูปที่ ๑- ๓) แต่ที่รู้คือ ชาตินี้เราเกิดแล้วในโลกนี้ (ดังรูปที่ ๔) ควรรีบกระทำความดี และเจริญกุศลทุกประการเพราะในชาติต่อไป เราก็ยังไม่รู้ที่ๆ เราจะไปเกิดว่าจะดีหรือร้าย (รูปที่ ๕) ซึ่งอันนี้ ผู้อ่านอาจจะเกิดความขัดแย้งในใจขึ้นได้ว่าจักรวาลกับธรรมะเกี่ยวกันยังไงซึ่งผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้หากได้ทำให้ทุกท่านเกิดความสับสนครับ
1.
2.
3.
4.
5.
ฟังธรรมให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง ยังไม่ต้องไปคิดที่จะทำอะไรๆ ต่อไป โดยเฉพาะการเจริญสติปัฏฐาน หากเข้าใจถูกในขั้นฟัง ก็จะรู้ว่าอีกยาวไกล ขอเพียงตั้งใจฟังให้เข้าใจจริงๆ เท่านั้นจริงๆ ครับ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่าง เปรียบเสมือนใบไม้ในป่าใหญ่ แต่ทรงแสดงพระธรรมเพียงแค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้น เพื่อให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎฎ์ พระธรรมที่ทรงแสดงนั้นยาก และละเอียดลึกซึ้งมาก ยากที่จะเข้าใจโดยเร็ว แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นควรค่อยๆ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง และพิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจจริงๆ ค่อยๆ อบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎซึ่งเป็นจิรกาลภาวนาค่ะ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
อดีต...มาจากไหน เคยทำอะไรหรือเป็นอะไรมาก่อน...ไม่มีทางรู้
ปัจจุบัน อยู่ในโอกาสโลกมีโอกาสได้ฟังพระสัทธรรม ปล่อยขณะให้ล่วงเลยไปเปล่าหรือไม่
อนาคต ไม่อาจคาดเดาดีร้ายจะไปสู่สุคติหรืออบายทุคติ ไม่สำคัญเท่ากับขณะนี้ทำอะไรอยู่
ขออนุโมทนาคุณสารธรรม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ