การทานยาธาตุน้ำแดงหรือยาแก้ไอ และ การขโมยของสงฆ์
๑. การทานยาธาตุน้ำแดง หรือยาแก้ไอ โดยทราบว่า มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ถือว่าล่วงศีลข้อ ๕ หรือไม่คะ.
๒. การหยิบยามาทานโดยไม่ได้ขออนุญาติ ไม่แจ้งพระภิกษุก่อน เช่นตู้ยาที่วัด (บางวัดติดตั้งไว้ใกล้โรงครัว) กระทำคืนโดยแจ้งพระภิกษุในภายหลัง ไม่ถือว่าขโมยของวัด ถูกต้องไหมคะ ถ้าไม่มีโอกาสกลับไปแจ้ง ถือว่าเป็นการขโมยของสงฆ์หรือปล่าวคะ.
ขออนุโมทนาค่ะ
๑. ทานเป็นยาแก้ไอ แม้มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่บ้าง ก็ไม่ชื่อว่าผิดศีลข้อสุราเมรัย แต่ถ้ารู้ว่ากินแล้วเมา กินเข้าไปจำนวนมากๆ อย่างนี้เข้าข่ายการผิดศีล
๒. ขณะที่หยิบยามา ไม่มีจิตคิดขโมย คิดว่ายาที่ตู้สำหรับทุกคนที่ไม่สบาย ขณะมาที่วัดหรือคิดว่าถือวิสาสะ จะบอกท่านภายหลัง ลักษณะที่ว่ามานี้ ไม่เป็นการขโมย
๑. ทานยาแก้ไอ มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ไม่ผิดศีล ถึงเอาสุรามาผสมอาหารให้ภิกษุทานยังได้เลย ไม่ผิดศีลค่ะ
๒. เราไม่มีเจตนาขโมย เพราะรู้ว่าเขาไม่หวงแหน เขาให้ทุกคนที่ป่วยทานค่ะ
สุรา ที่ผสมในยาและอาหาร ต้องไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ถ้ามีสี มีกลิ่น และ มีรสของสุรา ภิกษุฉันต้องอาบัติ ครับ
๑. ศึกษาจากพระวินัยปิฎก เพื่อเป็นเครื่องพิจารณาเพิ่มเติม ก็จะทำให้มีความเข้าใจว่า สำหรับพระภิกษุดื่มน้ำเมา ต้องอาบัติปาจิตตีย์ แต่ถ้าดื่มน้ำดังต่อไปนี้ ไม่เป็นอาบัติ คือ
ภิกษุดื่มน้ำที่มีกลิ่นรสเหมือนน้ำเมา แต่ไม่ใช่น้ำเมา ๑
ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในแกง ๑
ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในเนื้อ ๑
ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในน้ำมัน ๑
ภิกษุดื่มน้ำเมาในน้ำอ้อย ที่ดองมะขามป้อม ๑
ภิกษุดื่มยาดองอริฏฐะซึ่งไม่ใช่ของเมา ๑
ดังนั้น จากกรณีที่ดื่มยาแก้ไอ จึงไม่ผิดศีลข้อที่ ๕ ครับ
๒. สำหรับวัตถุสิ่งของที่เขาจัดเตรียมไว้เพื่อบุคคลทั่วๆ ไป ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะ ทุกคนก็สามารถที่จะหยิบมาบริโภค หรือ นำมาใช้ได้ตามความประสงค์ ตัวอย่างเช่น บุคคลที่เข้ามาศึกษาธรรม ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ก็สามารถที่จะดื่มน้ำ ดื่มกาแฟ โอวัลติน รับประทานอาหาร เป็นต้น ที่ผู้มีจิตศรัทธาได้เตรียมไว้ให้ได้ หรือถ้าเจ็บป่วยก็สามารถหยิบยาจากตู้ยามารับประทานได้เลย ดังนั้น จากกรณีที่ยกมาถาม จึงไม่ผิดศีลแต่ประการใด ครับ