มีความเข้าใจเป็นที่พึ่ง
สนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม
ที่มูลนิธิฯวันอาทิตย์ที่ ๑๑ พ.ย. ๒๕๕๐
สุกัญญา ทีนี้ลักษณะของสัญญาสติ ท่านอาจารย์เคยกล่าว ว่าเพียงแค่ระลึก แล้วก็หมดไป จะต่างกันอย่างไรกับ สภาพลักษณะของสัจธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
อาจารย์ ไม่ต่างเลย ทุกอย่างเกิดแล้วดับ ถ้าเป็นรูปที่ เป็นสภาวะรูป ก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ 17 ขณะ แต่ จิตทุกขณะ มีอายุเท่ากัน เกิดแล้วดับ ขณะเกิดเป็น อุปาทขณะ ขณะดับเป็นภังคะขณะ ขณะที่ยังไม่ดับเป็น ฐิติ ขณะนั้นเหมือนกันทุกขณะไม่ว่าจิตไหน เกิดขึ้น เมื่อไร ก็จะต้องมีอนุขณะ 3
สุกัญญา แล้วลักษณะของสติ ที่สามารถที่จะระลึกได้ ท่าน อาจารย์เคยกล่าวว่า สติรู้ลักษณะของสัจธรรมได้ทุก อย่าง เพราะฉะนั้นเลือกไม่ได้ที่จะรู้ เพียง รูปธรรมหรือ นามธรรม สัจธรรมใดเกิด เมื่อสติมีเหตุและปัจจัย ก็จะ รู้ได้ในลักษณะของสัทธรรมนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะ เป็น นามธรรม หรือ รูปธรรม สติก็สามารถที่จะระลึกรู้ ได้ใช่ไหมคะ ที่ต้องกราบเรียนถามท่านอาจารย์นี้ เพื่อ จะมีความมั่นคง
อาจารย์ กำลังคอยจะฟังประโยคนี้อยู่
สุกัญญา เพื่อจะมีความมั่นคง คือจริงๆ แล้ว อดที่จะมีความ หวั่นไหวไม่ได้ เนื่องจากว่าขณะที่มีการฟัง เวลาฟังแล้ว คิดพิจารณา ความเข้าใจในขั้นการฟัง มันเล็กน้อยมาก เพราะฉะนั้น เวลาที่สัทธรรมจริงๆ ที่ปรากฏในชีวิตประจำ วัน ก็มีอกุศลแทรก ความเป็นตัวตนแทรก ก็จะอดหวั่น ไหวไม่ได้ในสัจธรรมเหล่านั้นที่เกิดขึ้นน่ะค่ะ จึงจำเป็นที่ จะต้องกราบเรียนถามท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว สัญญา สติที่ระลึกสัจธรรมในชีวิตประจำวันนี้ เป็นอย่างไรคะ
อาจารย์ คุณสุกัญญามีธรรมะเป็นที่พึ่ง หรือเปล่าคะ หรือมีคน หนึ่งคนใดเป็นที่พึ่ง
สุกัญญา ตอนนี้มีท่านอาจารย์เป็นที่พึ่ง กล้าพูดอย่างนี้เต็มที่ เลย เพราะจริงๆ ลำพังปัญญาของตนเอง และตัวเองมี ข้อเสียตรงที่ไม่อ่านพระไตรปิฎก แล้วไม่อ่านหนังสือ จะ ฟังแต่คำบรรยายของท่านอาจารย์ วันเสาร์ก็จะมาได้ครึ่ง วัน วันอาทิตย์ก็จะมาได้เพียง 2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีท่าน อาจารย์เป็นที่พึ่ง บอกตรงๆ ว่ามีท่านอาจารย์เป็นที่พึ่ง
อาจารย์ แล้วเป็นที่พึ่งตอนไหน ขณะไหน ที่กล่าวว่าพึ่ง
สุกัญญา ก็ฟังธรรม ท่านอาจารย์
อาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังธรรม แล้วถ้าไม่เข้าใจ จะเป็นที่พึ่ง ได้ไหม เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว คือ ความเข้าใจ นั่นแหละ เป็นที่พึ่งของตัวเอง จะฟังใครยังไง ชื่ออะไรก็ตาม แต่ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ที่พึ่ง ถ้าเป็นปัญญาของตน เขาก็พึ่ง ปัญญาของเขาไม่ใช่ปัญญาของคนอื่น ใช่ไหม เพราะ ฉะนั้น ที่ว่ามีธรรมเป็นที่พึ่ง ก็คือมีปัญญา มีความเห็นถูก เข้าใจถูก เป็นที่พึ่งไม่เห็นผิด ไม่เข้าใจผิด
"...เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว คือ ความเข้าใจ นั่นแหละ เป็นที่พึ่งของตัวเอง จะฟังใครยังไง ชื่ออะไรก็ตาม แต่ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ที่พึ่ง ถ้าเป็นปัญญาของตน เขาก็พึ่ง ปัญญาของเขาไม่ใช่ปัญญาของคนอื่น ใช่ไหมคะ..."
ครับ ความจริงคือถ้าไม่พึ่งท่านอาจารย์ในการอรรถาธิบายพระธรรมอันลึกซึ้งของพระพุทธองค์ พวกเราผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายหรือจักเกิดมีปัญญาอันเป็นที่พึ่งได้ และต่อไปคือ "..เพราะฉะนั้นที่ว่ามีธรรมเป็นที่พึ่ง ก็คือมีปัญญา มีความเห็นถูก เข้าใจถูก เป็นที่พึ่งไม่เห็นผิด ไม่เข้าใจผิด..."
ขอกราบอนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาคุณสุกัญญาและคุณวันชัย
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ