อสังขาริก และ สสังขาริก
การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงลักษณะของจิต โดยความเป็น อสังขาริก และ สสังขาริก มีนัยที่เกื้อกูลต่อการเจริญสติปัฏฐานอย่างไรบ้างคะ.
การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง การเกิดขึ้นของจิตที่มีความต่างกันโดยประเภทต่างๆ ตามความเป็นจริง เพื่อให้สาวกรู้ตามเป็นจริงอย่างนั้นความต่างโดยนัยของอสังขาริก และ สสังขาริก ก็เช่นเดียวกัน เพื่อมิให้เข้าใจผิดในความต่างๆ กันของจิต
เพื่อให้สาวกรู้ความต่างกันของกุศลจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครชวน และมีกำลังเกิดขึ้นเอง เช่น ไม่มีใครชวนมาฟังธรรม ก็มาฟังธรรมเองค่ะ แต่บางคนก็ต้องมีคนชักชวนถึงจะมา แต่ภายหลังฟังธรรมแล้วเข้าใจ ต่อมาก็มาเองโดยไม่มีคนชวน แสดงให้เห็นความไม่เที่ยงของจิตที่เกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็วค่ะ
การที่สติปัฏฐานจะเกิดก็ต้องอาศํยการฟังธรรม และการพิจารณาธรรม ปัญญาถึงจะมีกำลังและเจริญขึ้นค่ะ
แสดงถึงความละเอียดของสภาพธรรมที่มีจริง รู้ว่าไม่ใช่เราที่จะพยายาม เป็นหน้าที่ของธรรม ที่จะมีกำลังหรือไม่มีกำลัง ทำให้เข้าใจถึงความเป็นอนัตตาและเป็นธรรมแม้ขั้นการฟัง จึงมั่นคงว่าไม่มีตัวตนที่จะไปทำหรือจะพยายามให้สติเกิด เป็นไปตามหน้าที่ของธรรมและการสะสมของของสภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น จึงไม่หลงทางที่จะไปทำเพราะเป็นหน้าที่ของธรรมและเห็นถึงความเป็นธรรมมากขึ้น เมื่อศึกษาพระอภิธรรมโดยละเอียด ย่อมเกื้อกูลในการเจริญสติปัฏฐานโดยไม่ไปทำ แต่อบรมเหตุและเข้าใจความเป็นอนัตตาอันแสดงถึงความเป็นธรรมอย่างละเอียด
ขออนุโมทนาท่านผู้ตอบ ... ความคิดเห็นที่ 1-3 ... ลึกซึ้งและละเอียดจริงๆ ทำให้เข้าใจมากขึ้นกรุณาสละเวลามาตอบอีกนะคะ
คำแนะนำที่ดี มีประโยชน์เกื้อกูลหากเห็นด้วยจริงๆ ควรเห็นประโยชน์ด้วยการน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตาม มิใช่เพียงแต่เห็นด้วยด้วยความจริงใจและเป็นผู้ตรง ไม่เข้าข้างตัวเองจนเห็นผิดเป็นชอบมิฉะนั้น ... ก็ไม่ต่างจากใบลานเปล่าค่ะ
กราบขอบพระคุณ ทุกๆ ความคิดเห็นด้วยครับ และกราบอนุโมทนาครับ