กราบขอความรู้เกี่ยวกับสภาวะของพระอรหันต์ค่ะ
ดิฉันอยากทราบว่า พระอรหันต์ ท่านจะหัวเราะออกมาเป็นเสียงดังๆ ได้ไหมคะ
ดิฉันต้องกราบขออภัยก่อนที่ตั้งคำถามที่ไร้สาระอย่างนี้ แต่ด้วยความสงสัยของดิฉัน ที่อาจจะทำให้คิดเป็นอกุศลต่อพระที่เทศน์ค่ะ เนื่องจากหลายครั้งที่ดิฉันไปฟังพระเทศน์ แล้วมีพระหลายท่านแสดงตัวว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ด้วยการพูดในคุณวิเศษต่างๆ ของพระอรหันต์ ว่าท่านมีบ้าง รู้แจ้งแล้วบ้าง บางท่านถึงกับบอกตรงๆ เลยว่าท่านเป็นพระอรหันต์ต่อหน้าญาติโยมจำนวนมากก็มี แต่ท่านเทศน์สอนพูดเรื่องสภาวะการปฏิบัติของท่านแล้วหัวเราะไป บางครั้งคุยกับญาติโยมแล้วหัวเราะไปในเรื่องราวต่างๆ การหัวเราะมีเสียงดัง ดิฉันเป็นที่สงสัยค่ะ
ถ้าหากคำตอบที่ได้จากอภิธรรมบอกว่า พระอรหันต์ไม่หัวเราะออกมาเป็นเสียงดังๆ ได้ ดิฉันก็ยังศรัทธาในพระรัตนตรัยค่ะ และจะคิดไปในทางที่เป็นกุศลต่อพระที่เทศน์ค่ะ
ถ้าหากคำตอบที่ได้จากอภิธรรมบอกว่า พระอรหันต์หัวเราะออกมาเป็นเสียงดังๆ ได้ ดิฉันจะได้หมดสงสัยในคำสอนหรือเทศน์ของพระรูปนั้นค่ะ
กราบขอขมาหากสิ่งที่ดิฉันพิมพ์ไปล่วงเกิน พระรัตนตรัย และ ผู้อ่านค่ะ
กราบขอบพระคุณล่วงหน้าในความเมตตาอนุเคราะห์ของท่านผู้ที่จะมาให้ความรู้ค่ะ
ขออนุญาตถามเพิ่มเติมด้วยค่ะ
แล้วพระท่านนั้นที่แสดงตัวเพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านจะต้องปาราชิกไหมคะ ถ้าท่านทำไปเพราะสำคัญผิดคิดไปเองว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านทำให้ญาติโยมที่ฟังเชื่อและศรัทธาค่ะ
ตามหลักพระไตรปิฎก คือ พระอรหันต์ท่านจะไม่มีการหัวเราะเสียงดังครับ อนึ่งตามพระวินัยบัญญัติ พระภิกษุจะบอกว่าตนบรรลุ หรือสำเร็จขั้นนั้นๆ ไม่ได้ครับ ถ้าพระรูปใดบอกว่าตนบรรลุ ... แสดงว่าท่านไม่ใช่พระอริยะ และไม่มีคุณธรรมอย่างนั้น และอาจเป็นอาบัติปาราชิกได้ เพราะอวดอุตริคุณธรรมที่ไม่มีจริงในตน
ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่ ...
พระอรหันต์ท่านไม่หัวเราะเสียงดังๆ ค่ะ ปุถุชนจะหัวเราะเสียงดัง ตัวโยก น้ำตาไหล ธรรมดาผู้ที่มีคุณธรรม ท่านจะมักน้อยสันโดษ ท่านจะไม่ประกาศคุณของตัวเอง มีแต่ปกปิดคุณธรรมที่ท่านบรรลุค่ะ
ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสทนา ไม่ใช่กาล (เวลา) เล็กน้อยผู้ที่ใส่ใจจึงจะรู้ ไม่ใส่ใจสังเกตก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ไม่มีปัญญาก็ไม่รู้ ดังนั้นเป็นพระอรหันต์เพราะดับกิเลส ดับกิเลสได้ เพราะเข้าใจหนทางดับกิเลสที่ถูกต้อง หากเราไม่เข้าใจหนทางที่ถูกต้องในการดับกิเลสก็ตัดสินไม่ได้ มีธรรมเป็นประมาณในการตัดสิน ผู้มีทรัพย์มาก ย่อมไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าตัวเองมีทรัพย์มาก ฉันใดผู้เป็นพระอริยะ ย่อมไม่ปรารถนาให้ผู้อื่น รู้คุณของท่านฉันนั้น
ความเป็นพระอรหันต์ ย่อมถึงได้ด้วยปัญญา ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งหมดได้อย่างเด็ดขาด ย่อมเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ พระอรหันต์ เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ภาวะของผู้สิ้นอาสวะแล้วนั้น ย่อมมีอาการสองอย่างคือ
๑. เกิดความคิดว่า ชาวโลกพร้อมกับเทวดา จะพึงรู้แจ้งแทงตลอดคุณวิเศษที่เราได้เฉพาะแล้ว พลันทีเดียว
๒. ไม่ประสงค์จะบอกคุณที่ตนได้แล้วแก่ผู้อื่น เหมือนคนที่ได้ขุมทรัพย์ (แล้วไม่ปรารถนาที่จะบอกให้แก่คนอื่นรู้) ฉะนั้น
* ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม (คือ ธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติปาราชิก
* ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง แก่อนุปสัมบัน (ผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุ) ต้องปาจิตตีย์
* การบอกหรืออวด ถ้ามีคนเข้าใจความหมายแม้เพียงคนเดียว ก็ปรับอาบัติได้ตามขั้นต้นความจริงมีรายละเอียดปลีกย่อยกว่านี้อีกมาก ต้องศึกษาเพิ่มเติมเอา
* ส่วนข้อสงสัยกิริยาบางอย่างว่าอย่างนี้พระอรหันต์ทำได้หรือไม่ เช่น พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า เวลาข้ามน้ำ ข้ามคลอง มักโดดข้ามเสมอ จึงถูกวิจารณ์จากภิกษุสมัยนั้นว่าทำกิริยาไม่เหมาะสม พระพุทธเจ้าตรัสถึงอุปนิสัยที่ติดเนื่องมาจนเคยชิน เพราะพระสารีบุตรเคยเกิดเป็นลิงถึงห้าร้อยชาติ
จากการสนทนาธรรม มีผู้บอกว่ากิริยาจิตในชวนะวิถีของพระอรหันต์ไม่ได้มีนิพพานเป็นอารมณ์เท่านั้นและบอกว่ามีเฉพาะตอนเข้าฌานถูกต้องหรือไม่อย่างไรคะ
บุคคลผู้ที่เป็นพระอรหันต์ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตอนเข้าโลกุตตรฌาน (ผลสมาบัติ) ถ้าท่านเข้าโลกียฌาน ไม่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ครับ สำหรับความเห็นที่ 10 เรื่องพระสารีบุตรกระโดดฯ ขอที่มาจากพระไตรปิฎกด้วยครับ