ที่เป็นอย่างนี้ ...เพราะสะสมความยินดีพอใจ มานานเท่าไหร่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
โดยมาก เราไม่ค่อยจะได้คิดถึงหลักธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากันนะคะและ ถ้าจะคิดถึง ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็เพียงแต่คิดว่า สิ่งนั้นไม่เที่ยงได้เดี๋ยวเดียวไม่สามารถจะรู้ได้ชัด จนกระทั่งละความความยินดีพอใจได้เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร. เพียงความรู้ที่เกิดจากการฟัง และการพิจารณาตามนิดเดียว ไม่สามารถที่จะทำให้ละความพอใจ และความยึดมั่นในสิ่งที่เคยพอใจได้ ที่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดปัญญา ก็ต้องมีด้วยค่ะไม่ใช่ว่า ใครต้องการจะนึกละ ก็ละได้ทันที.
ลองคิดดูว่า ระหว่างที่ไม่ได้ระลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคฯ นั้น นานสักเท่าไร และความยินดีพอใจในสิ่งที่ได้เห็น ที่ได้ยิน เป็นต้นนั้น ก็สะสมมานานเท่าไหร่แล้วเพียงชั่วระยะเวลาที่นึกถึงความไม่เที่ยง หรือเพียงแต่นึกรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นสีก็เป็นเพียงชั่วขณะที่สั้นกว่าความพอใจและความยินดีที่สะสมมานานมาก ฉะนั้น จึงไม่แปลก ที่เวลานึกได้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงสีเท่านั้น ก็นึกรู้ได้เพียงชั่วเดี๋ยวเดียว แล้วก็เกิดความพอใจยินดีในสิ่งที่เห็นนั้นต่อไปอีก
ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าเคยสะสมความยินดีพอใจในสิ่งที่เคยชอบนั้นมามากแล้วนั่นเองค่ะ
บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนา