สภาพเห็น กับ สภาพได้ยิน แยกขาดจากกันอย่างไร

 
บัวในตม
วันที่  22 มิ.ย. 2551
หมายเลข  8973
อ่าน  978

ขอสอบถามเช็คความเข้าใจค่ะจากท่านผู้เข้าใจแล้วหรือกำลังเข้าใจ

เช่น ขณะที่เห็น จิตเห็น (ปกติทั่วไป) เกิดทำหน้าที่โดดเด่นในการเห็นเป็นใหญ่ชัดเจนในสภาพเห็นสิ่งที่กระทบตา คือ สี รูปร่างลักษณะต่างๆ ในสิ่งที่ปรากฏ (เลยดูเหมือนว่าทางตาจะไม่ดับ) ความจริงจะรู้ว่าดับเมื่อสภาพเห็น (ทางตา) ชักจะไม่แจ่มชัดและไม่เป็นใหญ่ ไม่รับรู้ต่อสภาพเห็นเพราะจิดคิดนึกรู้บัญญัติเกิดสืบต่ออย่างเร็วทันทีสลับกับจิตได้ยินเสียงที่ปรากฏเลยดูเหมือนว่าเกิดพร้อมกัน

คำถาม หากจิตทางใดทางหนึ่ง ใน 6 ทาง (ทวาร) เกิดขึ้นทำหน้าที่เป็นใหญ่อยู่ขณะปัจจุบัน จิตอื่นอีก 5 ทางก็จะเกิดไม่ได้เลยใช่หรือไม่ เป็นเอกต่อการรับรู้รูปที่เกิดนั้นเฉพาะทาง หน้าที่ใครหน้าที่มันไม่เคยเกี่ยงกัน ประสานงานรับรู้รูปที่เกิดกันอย่างดีมากๆ รูปไหนเกิด จิตที่ทำหน้ารับรู้เฉพาะรูปนั้นกระโดดรับทันทีโดยไม่เกี่ยงกัน (ติดตลกไปนิดหนึ่งทั้งนี้เพื่อสื่อความเข้าใจขออภัยด้วย) เคยบ้างไหมที่เสียงเกิดแล้วจิตเห็นเกิดรับรู้แทนจิตได้ยิน เป็นไปไม่ได้เลย (ขณะนั่งคีย์กระทู้ ทั้งเห็น (จอคอม) คิดนึกบัญญัติเรื่องราว เมื่อย (มือ) เสียง (นกร้อง) อุปมาเหมือนไฟสลับสี ที่ติดตามหน้าร้านคาเฟ่ สลับสีกันอย่างเร็ว) (วิจิตรตามกาลสะสม)

คำถาม เข้าใจแค่นี้ยังปลด (ละทุกข์) ไม่ได้เลย หรือเป็นเพราะยังไม่เข้าใจจริงๆ หรือต้องเข้าใจให้ละเอียดยิ่งขึ้นว่านี้ (รู้ว่ากำลังมองหาวิธีนั้นเป็นโลภะ) ช่วยอธิบายด้วย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 23 มิ.ย. 2551

ความรู้แค่นี้เป็นเพียงความรู้ขั้นฟังและยังไม่เข้าใจจริงๆ แม้เข้าใจจริงๆ แล้ว ก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับกิเลสที่สะสมมานานแสนนานได้ การจะดับทุกข์เพราะกิเลสต้องอาศัยปัญญาขั้นโลกุตระ เพียงความรู้เล็กๆ น้อยๆ ยังอีกห่างไกลมากครับ ขอให้ศึกษาฟังพระธรรมไปเรี่อยๆ เพื่อการสะสมปัญญาให้ละเอียดและคมกล้ายิ่งๆ ขึ้นไป

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 23 มิ.ย. 2551

เราสั่งสมกิเลสและอวิชชามานานแสนนาน ปัญญาขั้นฟังละความไม่รู้ ยังไม่สามารถละ

กิเลสได้ ต้องเป็นปํญญาขั้นโสดาปัตติมรรค จึงจะละกิเลสตามลำดับขั้น และกิเลสที่ละได้แล้วจะไม่กลับมาเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 24 มิ.ย. 2551
สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
all-for-ละ
วันที่ 24 มิ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปัญญาทำหน้าที่ละ ละความไม่รู้ ละกิเลส ปัญญาก็มีหลายระดับ ปัญญาขั้นการฟัง เพียงแต่เริ่มเข้าใจความจริงของสภาพธรรม แต่ยังไม่ได้รู้ตัวธรรมจริงๆ ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ควรเข้าใจความจริงว่าปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับ กิเลสสะสมมามาก จะไม่ให้เกิด ไม่ให้มี เป็นไปไม่ได้ หากแต่ว่าหนทางการอบรมปัญญาคือเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรม จะละทุกข์ต้องรู้จักทุกข์ก่อน ทุกข์ก็คือสภาพธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
lichinda
วันที่ 26 มิ.ย. 2551

จิตเห็นคือ จักขุวิญญาณกระทำกิจ ๑ ขณะ ดับไปก่อนแล้วจิตดวงต่อไปจึงเกิดขึ้นรับอารมณ์ต่อ กระทำกิจ จนถึงชวนจิตจึงมีเจตสิคต่างๆ เกิดร่วมด้วย กระบวนการทั้งหมดไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ปัญญาไม่เกิด ไม่รู้ มันยากมากๆ ทุกข์โดยส่วนเดียวไม่มี ย่อมมีสุขด้วย แต่เป็นอกุศล ทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์เป็นอกุศลเป็นทุกข์โดยส่วนเดียว ความดับทุกข์ และหนทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นกุศล กุศลเป็นสุขโดยส่วนเดียวครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
study
วันที่ 27 มิ.ย. 2551

ขอแก้ความเห็นที่ ๕ หน่อยนะครับโดยสภาวะแล้วพระอรหันต์ท่านแสดงว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรตั้งอยู่และดับไป ส่วนความดับทุกข์ไม่ใช่กุศล ความดับทุกข์ เป็นอัพยากตะ อธิบายว่า ความดับทุกข์ (นิโรธะ) คือพระนิพพาน ส่วนกุศล โดยสภาวะ เป็นทุกข์เช่นกัน เพราะไม่เที่ยงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
lichinda
วันที่ 27 มิ.ย. 2551

กุศลจิตที่เป็นกามาวจร ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้นในมโนทวารนั้น ด้วยสามารถแห่งกรรมและทวาร ๓ อย่าง ไม่เกิดขึ้นด้วยสามารถทวารแห่งวิญญาณ ๕. การเสวยอารมณ์เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ หรืออทุกขมสุขนี้อันใด ย่อมเกิดขึ้น เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย. ก็โดยนัยนี้กุศลจิตที่เป็นกามาวจรย่อมเกิดขึ้นด้วยสามารถทวารแห่งผัสสะ ๖

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
lichinda
วันที่ 27 มิ.ย. 2551
คุณ Study ขอแก้ความเห็นที่ ๕ นั้น ชอบแล้ว ดีแล้วครับ โปรดจำไว้เถิดอัพยากตธรรมไม่ส่งผลให้เกิดวิบาก ความดับทุกข์ไม่ส่งผลให้เกิดวิบากจึงเป็นอัพยากต สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
study
วันที่ 27 มิ.ย. 2551

อัพยากตธรรมที่ดับทุกข์ คือ พระนิพพาน พระนิพพานไม่ใช่จิต ไม่ใช่ เจตสิกไม่ใช่รูป

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ