พระธรรมไม่พ้นไปจากปกติชีวิตประจำวัน

 
ธรรมทัศนะ
วันที่  28 มิ.ย. 2551
หมายเลข  9064
อ่าน  1,659

พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นความจริงทุกประการ และไม่พ้นไปจากปกติชีวิตประจำวัน ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ผู้ที่ท่านรู้แจ้งอริย-สัจจธรรมนั้น ท่านก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชีวิตประจำวันตามปกติ ซึ่งต้องเป็นปัญญาเท่านั้น จึงจะสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เมื่อไม่ใช่ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงในขณะนี้ได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prakaimuk.k
วันที่ 29 มิ.ย. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 29 มิ.ย. 2551

ขออนุโมทนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 5 ก.ค. 2551
สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pornpaon
วันที่ 22 ต.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
noynoi
วันที่ 23 ต.ค. 2552

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
homenumber5
วันที่ 24 ต.ค. 2552

ขอนอบน้อมรับคำต่างๆ และหากได้จาบจ้วงใดๆ ขออภัยด้วย

นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ สามจบ

ดิฉันเพิ่งเข้ามาสนทนา อาจจะยังใหม่ หากมีสิ่งใดได้ล่วงเกินต่อท่านผู้ใด ขอได้

โปรดอภัย อย่าได้มีพยาปาทะต่อกันตลอดไป

ต้องขออนุโมทนาต่อคณะผู้สร้างเวบไซด์ และบ้านธัมมะ คณะบุคคลที่ประกอบ

กันเป็นบ้านธัมมะนี้ จากอดีตถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นปึกแผ่นแน่นหนา เป็นเนื้อนาบุญ

ของพระพุทธศาสนาแก่ผู้ที่ใคร่ในธรรม แม้ว่าบางท่านพบแล้วจากลา พบแล้วลา แล้ว

กลับมาใหม่ อย่างไรก็ได้มาพบกันในเวบนี้ ข้อความที่ท่านธรรมทัศนะยกมานั้น ที่ว่า

พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นความจริงทุกประการ และไม่พ้นไปจากปกติชีวิตนี้

เป็นความจริงที่สั้น กระชับ ครอบคลุม สำหรับผู้ใคร่ในธรรมที่ลึกซึ้ง อาจจะปรารถนา

สิกขาเพิ่มเติมว่า ข้อความนี้มีความหมายอย่างไร ปุถุชน จะมีปัญญารู้ความจริงของ

สภาพธรรมคืออะไร ทำได้อย่างไร และหากต้องการมีปัญญา ต้องสิกขาอะไร อย่างไร

สำหรับดิฉัน ได้แสวงหามาร่วมสามสิบปีแล้ว อย่างค่อยเป็นค่อยไป ขาดความ

วิริยะ ศรัทธาอย่างจริงจัง วัยเด็กในชั่วโมงศีลธรรม รับการสั่งสอนเพียงว่าพระพุทธเจ้า

ตรัสรู้อะไร อริยสัจจ์สี่ พระพุทธประวัติ บัดนี้ ดิฉันได้เข้ามาสิกขาพระอภิธรรม ที่

พระพุทธเจ้าได้ทรงโปรดพระพุทธมารดา และบริวารในสวรรค์ หลังจากทรงตรัสรู้ จน

พระพุทธมารดาและบริวารสำเร็จมรรคผลจำนวนมาก ก่อนมาสิกขา รับทราบว่าพระ-

อภิธรรมนั้นเป็นเรื่องยาก บ้างก็กล่าวว่าพระพุทธเจ้ามิได้ทรงเทศนาไว้ เป็นการเขียน

ขึ้นของสงฆ์บางท่านเท่านั้น

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ดิฉันได้เข้ามาสิกขา และพบว่าเนื้อหาสาระนั้นเป็นสิ่งที่

ดิฉันแสวงหา พื้นเดิม ดิฉันเป็นผู้ที่ชอบเรียนรู้มาตลอด โดยเฉพาะเรื่องของการทำให้

ละทุกข์ได้ และเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีออกจากทุกข์ จึงติดตามฟังพระเกจิ

วิทยากรต่างๆ ที่สอนพระพุทธศาสนนา ฟังวิทยุอาจารย์สุจินต์ก็ฟังมาร่วมสามสิบปี แต่

ไม่สม่ำเสมอ ที่ฟังนานที่สุดคือเรื่องโสภณจิต ยอมรับว่าไม่เข้าใจเลย ด้วยเวลารัดตัว

ไม่ได้เข้าไปเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยตนเอง พยายามสืบค้นจากหนังสือพระ-

พทธศาสนา เรื่องโสภณจิต และได้พบความจริงที่ยิ่งใหญ่มาก คือ ปรมัตถธรรม ที่พระ

พุทธองค์ทรงสอนในเรื่อง จิต เจตสิก รูป เพื่อให้ได้เข้าใจเรื่องปัญญา เพื่อดับรูปนาม

ไปจนถึงขั้นนิพพานได้

ข้อนี้ ดิฉันต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ที่ได้บรรยายในเทป เรื่อง

โสภณจิต ไว้เป็นต้นธารให้ดิฉันสนใจหาความรู้เรื่องปรมัตถธรรมต่อมา

และแล้ว ดิฉันได้มีโอกาสฟังการบรรยายจากท่านวิทยากรอีกท่าน ขอสงวนนาม

ท่านไว้ก่อน หากท่านใดสนใจแนวการสอนของวิทยากรที่ดิฉันจะกล่าวต่อไปนี้ ท่าน

สามารถสอบถามที่อีเมลของดิฉันได้ เหตุที่ดิฉันได้สิกขาธรรมที่ดิฉันจะกล่าวต่อไปนี้

เพราะว่ารั้วของสถานที่บรรยาย ติดกับรั้วของสถานที่ ที่ดิฉันอยู๋

เนื้อความที่ท่านสอน คือ คนนั้นมีสัญญา คือความเคยชินที่ติดมาหลายชาติ นั่น

คือ กามสัญญา โคจรสัญญา มรณสัญญา สิ่งที่คนมาพบพระพุทธธรรมนั้น ต้องสะสม

ธรรมสัญญา เพื่อจะได้นำติด ข้ามภพ ข้ามชาติ อันว่าธรรมสัญญา ที่ต้องสะสมนี้ คือ

พระปรมัตถธรรม ซึ่งกล่าวถึงรายละเอียดของ จิต เจตสิก รูป เพื่อเป็นพื้นฐานของการ

บรรลุพระอริยมรรค คือ โสดาปัตติมรรค-ผล สกิทาคามิมรรค-ผล อนาคามีมรรค-ผล

ตลอดจนถึงนิพพาน และการสิกขานี้ ธรรมสัญญา จะจดจำอยู่ในชวนจิต ที่ชื่อว่า

โสมนัสสหคตังหสิตุปาทจิตตัง อเหตุกกิริยจิตตัง จากนั้น ธรรมสัญญา จะคอยเปลี่ยน

รูปในภพชาติต่อไป เป็นการพัฒนาจิต จากจิตของปุถุชนไปสู่จิตของมนุษย์และเทพ

พรหม อรูปพรหม โลกุตรบุคคล ต่อไป ข้ามภพ ข้ามชาติ

การเรียนรู้เพื่อประกอบอาชีพนั้น เป็นยุคสมัย และความรู้เปลี่ยนรวดเร็ว ต้องคอย

ติดตามบ่อยๆ ปรมัตถธรรม เป็นคำสอนพระพุทธองค์ที่ประกาศมาเกิน 2500 ปี ย่อม

ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะบันทึกไว้ใน พระไตรปิฎก ดิฉันจึงสรุปว่า การสิกขา

ปรมัตถธรรม นี้ละ น่าสนใจมากที่สุด สามารถสะสมความรู้ ความเข้าใจ ข้ามภพชาติ

จนกว่าปุถุชนจะละนามรูป เข้าสู่กระแสโลกุตรมรรค อย่างน้อยที่ปิดกั้นอบายภูมิได้ นั่น

คือ ระดับโสดาปัตติมรรค-ผล โดยที่ปรมัตถธรรมนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลสมัย แต่

รายละเอียดมีมากมาย มหาศาล และภาษาที่ใช้คือ ภาษามคธ ซึ่งมีส่วนใกล้เคียงกับ

ภาษาไทย จึงเกิดประเด็นของการเข้าใจคลาดเคลื่อน ระหว่าง ภาษา (ไทย) โลก และ

ภาษาธรรม อย่างคำว่า ปัญญา เป็นต้น

ปัญญา ในพระอภิธรรมนั้น มีความหมายหนึ่ง หมายถึง ปัญญาเจตสิก เป็นโสภณ

เจตสิก คือ เจตสิกฝ่ายกุศล ที่ใช้ประกอบจิตฝ่ายกุศล แต่คำว่า ปัญญา ภาษาไทยโลก

นั้น ชาวบ้านเข้าใจไปอีกแนวหนึ่ง

ประเด็นที่ท่านธรรมทัศนะเขียนไว้เรื่องปัญญา ดิฉัน จึงใคร่ขอแสดงความเห็น

เท่าที่ความเข้าใจของดิฉันมีขณะนี้

ขอทุกท่านที่เข้ามาอ่าน จงเจริญในพระพุทธธรรม ของสมเด็จพระอรหันตสัมมา-

สัมพุทธเจ้า ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
booms
วันที่ 26 ต.ค. 2552

เรียนคุณ homenumber 5 ความคิดเห็นที่ 6 จากประมาณ ย่อหน้า เนื้อความที่ท่านสอน คือ คนนั้นมีสัญญา คือความเคยชินที่ติดมาหลายชาติ นั่นคือ กามสัญญา โคจรสัญญา มรณสัญญา สิ่งที่คนมาพบพระ-

พุทธธรรมนั้น ต้องสะสมธรรมสัญญา เพื่อจะได้นำติด ข้ามภพ ข้ามชาติ อันว่าธรรม

สัญญา ที่ต้องสะสมนี้ คือ พระปรมัตถธรรม ซึ่งกล่าวถึงรายละเอียดของ จิต เจตสิก รูป

เพื่อเป็นพื้นฐานของการบรรลุพระอริยมรรค คือ โสดาปัตติมรรค-ผล สกิทาคามิมรรค-

ผล อนาคามีมรรค-ผล ตลอดจนถึงนิพพาน และการสิกขานี้ ธรรมสัญญา จะจดจำ

อยู่ในชวนจิต ที่ชื่อว่า โสมนัสสหคตังหสิตุปาทจิตตัง อเหตุกกิริยจิตตัง

ดิฉันมี ข้อสงสัย บางประการ ดังนี้ค่ะ.....

จากที่เคยศึกษามาว่า..... จิตที่เสพอารมณ์ ใน ชวนะ นั้น จะเป็น อกุศล กุศล หรือกิริยาจิต โดยจะมี จิต เพียง 1 ดวงเท่านั้น ที่เป็น อเหตุกกริยาจิต คือ

โสมมสฺสสหคตํ หสิตุปฺปาทจิตฺตํ (จิตที่ยิ้มแย้มของพระอรหันต์ เกิดพร้อมกับความโสมนัส) ที่เป็นผู้เสพอารมณ์ให้สำเร็จกิจเป็น กิริยา ในชวนะ

ฉะนั้น...การศึกษา การฟังพระธรรม ที่สะสมเป็นสัญญาเจตสิก ซึ่งเป็น สังขารขันธ์หนึ่งนั้น ควรเป็น "โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ ; มหากุศลจิต เกิดพร้อมด้วยความยินดี ประกอบด้วยปัญญา เป็นอสังขาริก คือเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีสิ่งชักจูง " มากกว่านะคะ ขอท่านผู้รู้ที่เป็นกัลยาณมิตรทางธรรม โปรดช่วย ชี้แจง การพิจารณาธรรมของ

ดิฉัน ด้วยค่ะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ประสาน
วันที่ 27 ต.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 29 ต.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียน ความคิดเห็นที่ ๗

ปกติของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีกิริยาจิตเพียง ๒ ประเภท เท่านั้น คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต และ มโนทวาราวัชชนจิต เท่านั้น ส่วนผู้ที่เป็นพระอรหันต์ มีกิริยาจิตมากกว่านี้ และ หนึ่งในนั้น ก็คือ หสิตุปาทจิต (จิตแย้มยิ้มของพระอรหันต์) สำหรับพระอรหันต์ ท่านแย้มยิ้ม ด้วยจิต ๕ ดวง คือ มหากิริยา (ที่เป็นสเหตุกกิริยา) ๔ ดวง อันประกอบด้วยโสมนัสเวทนา และ อีก ๑ ดวง เป็นอเหตุกกิริยา คือ หสิตุปาทจิต นั่นเอง ดังนั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะไม่มีหสิตุปาทจิตเลย ส่วนผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์สามารถแย้มยิ้มได้ด้วยจิตหลายประเภท กล่าวคือด้วยโลภมูลจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา และ มหากุศลที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ผู้ที่ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมจะมีความเข้าใจว่า การที่จะมีปัญญาเพิ่มขึ้น เจริญขึ้นเรื่อยๆ นั้นต้องอาศัยการฟัง การศึกษาการสนทนา การสอบถาม การพิจารณาการใคร่ครวญ ค่อยๆ ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เท่านั้น ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นได้ ซึ่งเป็นการสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ สิ่งที่สะสมไว้ย่อมไม่หายไปไหนแต่สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ, ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจฟังด้วยดี ไม่เข้าไปอาศัยผู้เป็นพหูสูต ไม่สนทนา ไม่สอบถาม ไม่พิจารณาในเหตุในผล ย่อมไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญได้เลย กล่าวคือ ไม่ได้ปัญญา นั่นเอง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
booms
วันที่ 31 ต.ค. 2552

ขอขอบพระคุณ คุณ Khampan.a ค่ะ ดิฉันเข้าใจ และ เห็นด้วย ในสิ่งที่คุณเขียนมาทั้งหมดค่ะ แต่ถึงอย่างไร... ดิฉันต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย... ที่จะต้องกล่าวซ้ำในประเด็นที่ติดข้อง ที่คุณhomenumber 5 กล่าว...ซึ่งขอสรุปโดยกระชับคือ ท่านกล่าวว่าคนที่สิกขา พระธรรม เป็นการสะสมธรรมสัญญา โดยธรรมสัญญานี้ จะจดจำในชวนจิต ที่ชื่อ โสมนัสสสหคตัง หสิตุปาทจิตตัง อเหตุกกิริยจิตตัง

ซึ่งขออนุญาติเรียนตามตรงว่า ดิฉันไม่เห็นด้วย กับท่าน ด้วยเหตุผลดังนี้ คือ....

1. ปุถุชน คนธรรมดาทั่วไป ไม่มี"โสมนัสสสหคตัง หสิตุปาทจิตตัง อเหตุกกิริยจิตตัง"

2.ปุถุชนผู้ได้ชื่อว่ากำลัง ศึกษาพระธรรม และยังไม่ได้บรรลุอรหันต์ นั้น ธรรมสัญญา (สัญญาเจตสิก) ที่สะสมความรู้ อันจะเป็น ปัจจัยให้เกิด สติ ระลึกรู้ และ เกิดปัญญาได้นั้น จะต้องเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา โดยจิตดวงนี้แหละ ที่จะสะสม บ่มดอง ใน ชวนะวิถี ข้ามภพ ข้ามชาติ ...บ่มดองสะสมไปเรื่อยๆ จนบรรลุความเป็น พระอรหันต์บุคคลนั่นเอง ซึ่งไม่ใช่ สะสมในจิต ที่ชื่อว่า โสมนัสสหคตัง หสิตุปาทจิตตัง อเหตุกกิริยจิตตังค่ะ เพราะผู้ที่กำลังศึกษาธรรมมะอยู่ และ ยังไม่ได้บรรลุอรหันต์ ...จะไม่มีจิตดวงนี้ค่ะ ที่กล่าวมาข้างต้น นี้ ดิฉันไม่มีเจตนา ที่จะลบหลู่ ดูหมิ่น ผู้ใดเลย เพียงแสดงความคิดเห็น ที่คิดว่าน่าจะมี หลักการ และ เหตุผล ที่สอดคล้องเท่านั้น ซึ่งท่านผู้อ่านบางท่าน อาจคิดว่า ดิฉัน ไม่น่าจะสงสัยใน ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ แต่ดิฉันคิดว่า ...ผู้ศึกษาธรรมมะ ควรเป็นผู้ละเอียด ไม่ควรมองข้ามในสิ่งเล็กน้อย (อย่าลืมว่า ..สิ่งที่ว่าเล็กน้อยนี้แหละ ที่จะสะสม กลายเป็นสิ่งใหญ่ๆ ได้ในที่สุดนะคะ)

ขออนุโมทนา แด่ทุกท่านที่ก่อตั้งบริหาร webธรรมมะ ดีๆ นี้ขึ้นมา ซึ่งนอกจากจะให้ ความรู้-ความเข้าใจที่ถูกต้อง ยังยกระดับของการสนทนาธรรม ที่ถูก ที่ควร ไปยังคนหมู่มากด้วย.... -ขออนุโมทนาอีกครั้งค่ะ สาธุ........

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
homenumber5
วันที่ 1 พ.ย. 2552

ขออนุโมทนาท่านความเห็นที่10ค่ะ ที่ช่วยชี้ให่ถ่องแท้

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
คุณ
วันที่ 10 พ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
saifon.p
วันที่ 14 พ.ย. 2552
จากความคิดเห็นที่ 11 : ผู้ศึกษาธรรมมะ ควรเป็นผู้ละเอียด ไม่ควรมองข้ามในสิ่งเล็กน้อย ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 28 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ