พิจารณาอย่างไรให้ความอยากมันลดหรือหมดไปค่ะ
ดิฉันเป็นคนที่แพ้เสื้อผ้าและนาฬิกามาก ถ้าสวยถูกใจ ก็จะซื้อเลย ตอนนี้พยายามลดความอยากลง เพราะมันมีมากเกินความจำเป็นไปมากๆ เรื่องรายได้ ไม่เป็นปัญหาเพราะดิฉันเป็นคนทำงานค่อนข้างหนัก รายได้ดี เวลาซื้อทีจะก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า ให้รางวัลกับชีวิต เพราะทำงานหนัก บางทีก็ตัดใจได้ บางทีก็ไม่ได้ ก็ต้องซื้อมา
ดิฉันศึกษาธรรมะจากหนังสือและจากการฟังเทปอาจารย์สุจินต์เป็นประจำค่ะ บริจาคทาน ทำบุญก็ทำเป็นประจำเช่นกัน พิจารณาธรรมสมควรแก่ธรรมได้บ้าง ไม่ได้บ้างตามประสาคนทำงานในเมือง แต่ก็พยายามปฎิบัติให้เป็นปกติเท่าที่จิตจะระลึกได้ มันคงเป็นการสั่งสมสันดานมาให้ดิฉันมีนิสัยชอบของพวกนี้ แต่ทำอย่างไรจะให้ความโลภอยากได้มันลดลงค่ะ (โลภอีกแล้วค่ะ โลภอยากให้ความอยากมันลดลง :-)
ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยแนะนำค่ะ ขออนุโมทนานะคะ
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจศึกษาพระธรรมมานานพอควร แต่พอเห็นใบรายการโฆษณาสินค้าที่ตัวเองชอบก็อยากจะได้ อยากจะซื้อมาเป็นของตนเหมือนกัน แต่บางครั้งพอคิดถึงความจำเป็น หรือประโยชน์จริงๆ ของสินค้าประเภทนั้น ก็ทำให้ความต้องการลดลงไปบ้าง และเท่าที่ทราบจากการศึกษาเรื่องราวของผู้ศึกษาธรรมในสมัยครั้งพุทธกาลพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน ท่านก็ยังมีความติดข้องในสิ่งต่างๆ และมีชีวิตตามปกติ แต่สิ่งที่ท่านไม่ขาดก็คือการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม อนึ่งกิเลสที่น่ากลัวและต้องละก่อนไม่ใช่โลภะครับ แต่กิเลสนั้นคือความเห็นผิด ดังนั้น ถ้าจะให้แนะนำขอแนะนำให้ลดละความเห็นผิด ความยึดถือผิด การยึดถือข้อปฏิบัติที่ผิดทางเสียก่อน เพราะโลภะจะละได้ด้วยปัญญาระดับพระอรหันต์ ปัญญาขั้นต้นละความเห็นผิดก่อน และไม่ใช่เราละ แต่เป็นกิจของปัญญา เมื่อปัญญาเกิดขึ้นปัญญาย่อมทำกิจละ
กิเลสทั้งหมด
โลภะเกิดก็ให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนั้นว่าไม่ใชเราเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง
เท่านั้น ขั้นแรกให้ละความเห็นผิดก่อน และอบรมเจริญสติปัฏฐาน เมื่อเข้าใจธรรมะ
มากขึ้น การละคลายความเป็นตัวตนและกิเลสอื่นๆ ก็ลดลงไปด้วยค่ะ
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพื่อให้ผู้ศึกษาได้พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง ว่า สภาพธรรมทั้งหมด เป็นความจริง เป็นสิ่งที่มีจริง แม้แต่ความติดข้องยินดีพอใจ (โลภะ) ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นจริง ตามการสั่งสมมาของแต่ละบุคคล พอใจในรูปบ้าง พอใจในเสียงบ้าง พอใจในกลิ่นบ้าง เป็นต้น เราไม่สามารถที่จะมีกุศลจิตเกิดตลอดเวลา และตลอดทั้งวันก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่อกุศลจิตเกิดแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ย่อมมีความเป็นไปอย่างนี้จริงๆ
โลภะ เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แล้วแต่ว่าจะเป็นโลภะที่ติดข้องยินดีพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ที่พอจะหามาได้ ไม่ทำให้บุคคลอื่นเดือดร้อนโดยการกระทำทุจริต (แต่ก็ควรที่จะเป็นผู้มีเหตุผล คือ ควรใช้จ่ายทรัยพ์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ควรเสียประโยชน์กับสิ่งที่ไม่จำเป็น) หรือจะเป็นโลภะที่มีกำลังกล้าจนกระทั่งสามารถที่จะล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องในระดับใด ย่อมเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งนั้น เพราะเป็นอกุศลธรรม
เมื่อเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อดทนที่จะศึกษา อดทนที่จะฟังพระธรรมเท่านั้น จึงจะเห็นประโยชน์ของปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว การที่จะลดละคลายกิเลสอกุศล มีโลภะ เป็นต้นนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อมีความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้ระลึกถึงกิเลสของตนเอง โดยที่ค่อยๆ ขัดเกลากิเลสเพราะเห็นโทษของกิเลส แล้วกิเลสทั้งหลายก็จะค่อยๆ คลายลงกุศลทั้งหลายก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามระดับขั้นของปัญญา ดังนั้น การที่จะลดละคลายกิเลสอกุศลได้ จึงมีหนทางเดียวเท่านั้น คือ อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ครับ ...ขออนุโมทนาครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ จึงควรศึกษาพระธรรมให้เข้าใจพระธรรมจริงๆ ในชีวิตประจำวันอกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิตมาก เป็นไปกับความติดข้องเป็นส่วนมาก ทางตาก็ติดข้องในเสื้อผ้าสวยๆ เครื่องประดับต่างๆ ทางจมูกก็ติดข้องน้ำหอม ทางลิ้นก็ติดข้องรสอาหารต่างๆ เป็นต้น จึงควรศึกษาพระธรรมให้เข้าใจลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันค่อยๆ ขัดเกลากิเลส อบรมเจริญปํญญายิ่งๆ ขึ้นจนละกิเลสทีละขั้นขั้นแรกละความเห็นผิดในสภาพธรรมะว่า เป็นตัวตนจนถึงละโลภอย่างละเอียดขั้นสุดท้ายเป็นพระอรหันต์ประหานกิเลสเป็นสมุจเฉท
จึงควรศึกษาพระธรรมให้เข้าใจลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันก่อน ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาน่ะค่ะ
มีทางเดียวค่ะ คือ หมั่นศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม เจริญกุศลทุกประการเพื่อให้สติ
ปัญญาเจริญขึ้น ทำให้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจในสภาพธรรมต่างๆ ตามความเป็นจริง ค่อยๆ ละคลายความเห็นผิดในความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล สิ่งของต่างๆ ลงได้บ้าง...
เมื่อมีความเข้าใจในพระธรรมอย่างมั่นคง ก็จะสังเกตุได้ว่าความโลภ โกรธ หลง
ในชีวิตประจำวันจะค่อยๆ ลงเอง เพราะเห็นโทษของอกุศลกรรมเหล่านั้น....
เมื่อฝึกให้เกิดการฟังธรรมสม่ำเสมอทุกวัน ก็เห็นประโยชน์ของการฟังการเข้าใจ
ธรรมะ เป็นปัจจัยให้ฟังต่อไปเรื่อยๆ เกิดความสงบจากความรู้ในสิ่งที่เป็นจริง ดังนั้น
ความอยากที่จะไปแสวงหาความพอใจจากสิ่งภายนอกที่ไม่เที่ยงแท้ ก็ค่อยๆ ลดลงเอง
ค่ะ ........ขออนุโมทนาค่ะ
ตอนผมบวชตอนเย็นจะสรงน้ำ ไม่มีผ้าเปลี่ยน รำพึงว่าญาติโยมนี้เอาพระมาทรมานหรือครั้นสติระลึกว่าภิกษุครองผ้าสามผืน จีวร สบง สังฆาติ เท่านั้นสำหรับคุณ Pandora ชอบเสื้อผ้า นาฬิกา ไม่แปลก ถ้าไม่ชอบซิแปลก ผมว่าคุณก็แค่ใส่เสื้อที่ละตัว นาฬิกาที่เรือนเท่านั้น แต่ถ้าคุณใส่เสื้อตัวหนึ่ง แล้วใส่ไม้แขวนเดินถือไปด้วยอีกตัวหนึ่งละก็แปลก หรือใส่นาฬิกาที่ละ ๒ เรือนซิแปลกครับ
ฉันทะชื่อว่ากาม
ราคะชื่อว่ากาม ฉันทราคะชื่อว่ากาม สังกัปปกามชื่อว่าราคะ กามสังกัปปราคะชื่อว่ากาม เรียกว่า กาม
เพราะกามทั้งหลายยังอยู่ ฌานนี้
ก็เป็นไปไม่ได้ เปรียบเหมือนเมื่อความมืดยังมีอยู่ แสงสว่างแห่งประทีปก็ยัง
ไม่มี ฉะนั้น การบรรลุฌานนั้นได้ เพราะการสละกามเหล่านั้นนั่นแหละ
เปรียบเหมือนละฝั่งนี้จึงไปถึงฝั่งโน้นได้
คำถามคงหมายถึงจะละความอยากไห้ลดน้อยลงหรือหมดไปโดยทันที่ ถ้าเป็นเช่นนั้น การพิจารณาไม่สามารถละความอยากไห้ลดน้อยหรือหมดไปได้เลย การพิจารณาเป็นเพียงแต่ไห้เข้าใจว่า มีความอยากเกิดขึ้น ขณะทีเห็นนาฬิกา เสื้อผ้า และเราไม่สามารถห้ามได้ ความอยากจึงเกิดขึ้นตามความเป็นจริง การพิจารณาจึงเป็นเพียงการที่จะรู้สภาพธรรมเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ไม่ใช่การละ ในขณะที่โลภะเกิดและสติไม่เกิด การซื้อก็เกิดขึ้นตามกำลังของโลภะ การซื้อจะไม่เกิดต่อเมื้อมีการพิจารณา บ่อยๆ เนืองๆ (การฟังธรรม) ถึงสภาพธรรมเกิดขึ้นตามความเป็นจริง จนมีกำลังพอที่จะรู้ทันโลภะ ใหม่ๆ สติจะไม่ทันก็ซื้อไปก่อน ต่อเมื่อมีกำลังแล้วการซือจะไม่เกิด ก็ต้องต่อสู้กันว่าใครจะชนะหรือแน่กว่ากัน โลภะมีกำลังมาก การพิจารณาก็ต้องมากด้วย สภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าโลภะมีกำลังมาก ก็เกิดนานหน่อยแต่ก็ต้องดับ จะสู้ได้ใหม แล้วแต่บุญ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมคือเข้าใจความจริงว่า กิเลสมีมากมาย และ
หลายระดับ ดังนั้น การดับกิเลสจึงต้องอบรมปัญญาและปัญญาจึงมีหลายระดับ
ตามระดับของกิเลส เมื่อเข้าใจความจริงย่อมทราบว่า กิเลสที่ต้องดับก่อน คือ
การยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ยึดถือว่าเป็นเราที่มีความอยาก เป็นเราที่
อยาก เป็นเราที่ชอบ เป็นเราที่มีกิเลส เป็นเราที่ไม่อยากมีกิเลส เป็นเราที่เห็นที่ได้ยิน... ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล
การอบรมปัญญา จึงไม่พ้นไปจากเข้าใจความจริงในชีวิตประจำวัน
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ความอยากเป็นธรรม ความชอบ
เป็นธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แต่ปุถุชนผู้ไม่รู้ความจริงย่อมยึดถือสิ่งที่มีในชีวิต
ประจำวันว่าเป็นเรา เมื่อเข้าใจความจริงขั้นการฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรม แม้อกุศล
ที่เกิดขึ้น ก็ย่อมเบาและไม่เดือดร้อนเพราะรู้ว่า ความอยากเป็นธรรมมีเหตุปัจจัย
ก็เกิด ดังนั้น จึงละความอยากด้วยปัญญา แต่ละความอยากที่เป็นเราที่อยากที่
ติดข้องก่อนครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
คุณ Pandora ยังดีกว่าอินดี้นะคะ
เพราะอินดี้ชอบหมดเลย เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด
เครื่องประดับสารพัดชนิดทั้งที่มีราคามาก และราคาน้อย ต้องหามาจนเป็น set
เมื่อก่อนยังเคยคิดว่า จนแก่...คงจะไม่สามารถทุเลาความชอบสิ่งเหล่านี้ลงไปได้
แต่เมื่อได้ฟังธรรมบ่อยๆ เนืองๆ และนานๆ เข้า
จึงค่อยๆ เข้าใจไปเองว่า ความชอบนี้เป็นสภาพธรรมหนึ่ง
สะสมมาที่จะชอบเช่นนี้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ความชอบความติดข้องพอใจก็เกิดขึ้น
ซื้อแล้ว ก็ยังซื้อเพิ่มได้อีก แต่ของทุกอย่างย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา
ทุกอย่างที่ซื้อมา ทีเคยงาม ที่เคยชอบ ก็กลับไม่งามและชอบน้อยลง จนอาจต้องทิ้งไป
ยอมรับความจริงว่าทุกวันนี้ก็ยังชอบ แต่เห็นความจำเป็นในการซื้อน้อยลง
เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องซื้อใหม่ ก็ซื้อทีละมากด้วย
และแน่นอนว่า ย่อมซื้อเฉพาะสิ่งที่ชอบเท่านั้น
เพราะนี่คือ สภาพธรรมตามความเป็นจริง ตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล
คงทำได้เพียงค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกต่อไป
เมื่อความเข้าใจถูกค่อยๆ เพิ่มขึ้น ความติดข้องพอใจก็ค่อยๆ ละคลายลงไปเช่นกัน
แม้ว่าคงต้องใช้เวลานานนนนนน......มากกกกกกกก......
เพราะว่าชอบมากกกกก...
* * * * * ขออนุโมทนาทุกความคิดเห็นค่ะ * * * * *