เพราะเราไม่คุ้นเคยกับการละ !
ได้ฟังคำบรรยายจากท่านอาจารย์สุจินต์ที่มูลนิธิช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ท่าอาจารย์พูดคำว่า...เพราะไม่คุ้นเคยกับการละ
ดูจะเป็นคำง่ายๆ ตื้นๆ (พยัญชนะตื้น อรรถความหมายลึก) แต่ทำให้ข้าพเจ้าคิดอะไรในสิ่งต่างๆ จากคำนี้
หากแต่ว่าสหายธรรมแต่ละท่าน เมื่อเห็นหรือได้ยินคำนี้ท่านคิดตรึกอย่างไรกับคำว่า เพราะไม่คุ้นเคยกับการละ
เราสั่งสมอวิชชามานานนับชาติไม่ได้ เราคุ้นเคยกับการติดชื่อและบัญญัติ ยึดถือ
สภาพธรรมะทั้งหมดที่ไม่ใช่ของเรา ว่าเป็นของเรา ฯลฯ
ชีวิตเราเต็มไปด้วยความอยากมี อยากเป็น อยากได้ อารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบทั้งภายในและภายนอก จึงไม่คุ้นเคยกับการละ และเพราะไม่คุ้นเคยกับการละ จึงสะสมความอยากเหล่านี้ต่อๆ ไปอีก เป็นการต่อภพ ต่อชาติ ต่อสังสารวัฏฏ์ยาวนานจนนับไม่ถ้วน
การศึกษาธรรมะให้เข้าใจจนคุ้นเคยกับสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะทำให้ค่อยๆ คุ้นเคยกับการละมากขึ้น
เพราะไม่คุ้นเคยกับการละ
เนื่องด้วยเรายังเป็นปุถุชนหนาด้วยกิเลส เพราะความไม่รู้ในสภาพธรรมตามความเป็นจริงในชีวิตปัจจุบัน อกุศลจิตจึงเกิดมากกว่ากุศลจิต เราคุ้นเคยกับอกุศลเป็นไปกับความติดข้อง คือโลภเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่คุ้นเคยกับการละความไม่รู้ คืออวิชชานั่นเองจึงควรศึกษาพระธรรมให้เกิดความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งเป็นปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะละความไม่รู้
ขออนุโมทนาค่ะ ..
เพราะคุ้นเคยอยู่กับการสะสมอวิชชา ไม่คุ้นเคยกับการค่อยๆ สะสมปัญญา
เพราะคุ้นเคยอยู่กับความไม่เข้าใจ ความไม่รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริง
เพราะคุ้นเคยอยู่กับการยึดถือความเป็นตัวตน เป็นเขา เป็นเรา
เพราะคุ้นเคยอยู่กับการรักสุข เกลียดทุกข์
มีความเข้าใจผิดแล้ว เลยเลือกรักโลภะ เกลียดโทสะ เพราะ...ไม่คุ้นเคยกับการละ ละความเห็นผิด สะสมความเห็นถูก
ขออนุโมทนาค่ะ
..
กระแสน้ำย่อมไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเป็นปกติฉันใด การทวนกระแส (กิเลส) จากที่ต่ำไปที่สูงย่อมต้องมีเหตุปัจจัย (ปัญญา-บารมี) ฉันนั้น หากการเสพคุ้นกับปริยัติและปฏิบัติเป็นเหตุการพบมิตรแท้ คือปฏิเวธย่อมเป็นผลและเหตุจะสมควรแก่ผลก็ต่อเมื่อพบหนทางคือ สัมมามรรคเท่านั้น
.
ขอนอบน้อมแด่ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ผู้พูดให้คิดและเป็นมิตรในพระธรรมเสมอมา.