ทำอย่างไรจึงไม่ทุกข์.......
สำหรับตัวเอง จะใช้การฟังธรรมและใช้การโยนิโสมนสิการ พิจารณาตามเหตุปัจจัยต่างๆ เช่น เมื่อเราได้รับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ หรือมีคนมาทำให้เราขุ่นเคืองใจ ก็พิจารณาว่าเรากำลังได้รับผลของกรรมในอดีตที่เราทำไว้ ไม่มีเหตุผลย่อมไม่เกิด ก็ทำให้เราสงบได้ไม่ทุกข์ ส่วนท่านอื่นๆ ไม่ทราบใช้วิธีทำอย่างไรจึงไม่ทุกข์
ควรทราบคำว่า "ทุกข์" มีหลายอย่าง วัฏฏทุกข์ก็มี กิเลสทุกข์ วิปากทุกข์ก็มี ทุกขสัจก็มี ทุกขเวทนาก็มี ทุกขลักษณะก็มี ทุกขทุกขก็มี วิปรินามทุกข์ก็มี สังขารทุกข์ก็มี อนึ่ง มีคำกล่าวของพระอรหันต์ท่านหนึ่งว่า ชีวิตทุกขณะมีแต่ทุกข์ คือ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ สำหรับทุกข์ใจอันเกิดจากกิเลสผู้ที่จะไม่มีทุกข์เพราะกิเลส จะต้องอบรมเจริญปัญญาจนถึงความเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีกิเลสทุกข์ แต่ท่านยังมีทุกข์ทางกายที่ต้องบริหารขันธ์อันเป็นภาระหนักนี้ จนกว่าจะปรินิพพาน สำหรับกัลยาณปุถุชนผู้ได้สดับธรรมะของพระอริยะย่อมเป็นผู้ฉลาดในธรรมะของพระอริยะ รู้จักสิ่งที่ควรเว้น สิ่งที่ควรทำ สิ่งที่ควรพูดสิ่งที่ควรคิด ย่อมมีทุกข์เพราะกิเลสน้อยกว่าผู้ไม่ได้ฟัง ไม่ได้อบรมในอริยวินัย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดูกร ภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ เหล่านี้โลกธรรม ๘ เป็นไฉน คือลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุขทุกข์
ดูกร ภิกษุทั้งหลายโลกธรรม ๘ เหล่านี้แล.
.........................................
โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าคิดว่าหากคนเราเกิดมาต้องอยู่ในโลก (ธรรม) ก็จะพ้นจากโลก (ธรรม) ไปไม่ได้ เช่นเดียวกับมีกลางวันก็ต้องมีกลางคืน ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบเวลาไหนก็ต้องพบทั้งกลางวันและกลางคืน.
หากเราเข้าใจว่านั่นเป็นธรรมดาของโลก (ธรรม) เช่นเดียวกับพระพุทธพจน์ข้างต้นทุกคนอยู่ในโลก (ธรรม) เหมือนกันเพราะต้องเป็นเช่นนั้น เป็นธรรมชาติไม่มีใครพ้นธรรมชาติได้.
ต่างกันที่เข้าใจโลก (ธรรม) มากแค่ไหน เข้าใจน้อย อกุศลจิตก็เกิดมาก เข้าใจมาก อกุศลจิตก็เกิดน้อย
แล้วควรจะเข้าใจน้อย หรือเข้าใจมาก?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ฟัง ผู้ศึกษาอย่างแท้จริง เพราะพระองค์ทรงเห็นประโยชน์จึงทรงแสดงพระธรรม บุคคลผู้ที่ได้สั่งสมอบรมเจริญปัญญามา สามารถที่จะฟัง พิจารณาไตร่ตรองตาม แล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ที่สำคัญในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นผู้เข้าใจธรรมซึ่งเป็นเหตุเป็นผลแล้ว ก็จะรู้ทำให้จักตนเองตามความเป็นจริงขึ้น เพราะมีความเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้ลาภ เสื่อมลาภ มีสุข มีทุกข์ เป็นต้น ก็ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งนั้น ซึ่งจะเป็นเหตุให้เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่ดีไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็จะไม่เสียใจมากนักหรือ เมื่อได้รับสิ่งที่ดี ที่น่าใคร่น่าพอใจ ก็จะไม่หลงระเริง ไม่เพลิดเพลินมัวเมา
ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดได้อย่างเด็ดขาด ทุกข์เพราะกิเลสก็ย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุว่าบุคคลผู้ที่มีกิเลส ย่อมเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เพราะเป็นผู้ถูกกลุ้มรุมด้วยกิเลสนานาประการ ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ รวมถึงกิเลสอื่นๆ ด้วย ผู้ที่จะมีความสงบสุขอย่างแท้จริง โดยที่ไม่มีทุกข์เพราะกิเลสอีกเลยนั้น ต้องบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ (พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสทั้งปวง) ดังนั้น การที่กิเลสจะค่อยๆ ละคลายลงได้ ก็ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมเห็นประโยชน์ของปัญญา เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลส ครับ
...ขออนุโมทนาครับ...
..
เมื่อได้ยินได้ฟังอะไรมาทำให้ไม่สบายใจ ขณะนั้นจิตเป็นอกุศล ถ้าเราสามารถเปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศล เช่น การตั้งใจฟังธรรมะ พิจารณาธรรรมะ มีความเข้าใจถูกต้อง ขณะนั้นจะคลายความทุกข์ได้ชั่วขณะ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ทุกข์อีก เราก็ต้องอบรมปัญญาต่อจนกว่าจะดับกิเลสหมดบรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็จะไม่ทุกข์ใจอีกเลยค่ะ
ทุกๆ สิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน เป็นธัมมะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่ใช่ลักษณะของนามธรรม ก็เป็นลักษณะของรูปธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน
ฟังธัมมะเพื่อเข้าใจว่าเป็นธัมมะอย่างไร
อย่าเพื่อมุ่งเพียงแค่หยุดโทสะในขณะนั้น หรือเพื่อโทสะคลายลง ด้วยความเป็นตัวตน ขณะที่โทสะเกิด ต้องมีลักษณะของโทสะ ศึกษาพิจารณาลักษณะของนามธรรมนั้นๆ
ให้มั่นคงว่าเป็นธัมมะไม่ใช่สัตว์ บุคคล
สมัยก่อนที่ยังไม่ได้ศึกษาและฟังธรรม จะเป็นคนที่มีโทสะ คือ โกรธง่าย หายเร็ว พอได้มาศึกษาและฟังธรรมของอจ.สุจินต์ ทำให้โทสะลดน้อยลง จิตใจสงบเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเหมือนธรรมะโอสถ สามารถรักษาได้ทุกโรคที่เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ถ้าผู้ศึกษามีความเข้าใจในหลักธรรมตามความเป็นจริง สมัยก่อนฟังธรรมที่อจ. สุจินต์สอนว่าให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่ให้ติดฃ้อง ก็ไม่เข้าใจ แต่พอฟังมากๆ เริ่มเข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ทำให้การใช้ชีวิตในประจำวันมีทุกข์น้อยลง ถ้าใครไม่อยากมีความทุกข์มาก ควรศึกษาและฟังธรรมมากๆ เพื่อไม่ติดคล้องในกิเลสกามต่างๆ ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้นค่ะ
มีชีวิต...ก็มีทุกข์
แต่จะทุกข์มาก...ทุกข์น้อย
ขึ้นอยู่ที่การได้อบรมเจริญปัญญามาก-น้อยแค่ไหนค่ะ
..
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การพิจารณาด้วยเหตุผลต่างๆ ก็สามารถคลายทุกข์ได้ แต่ไม่ใช่หนทางการดับทุกข์ ทำอย่างไรก็ไม่หายทุกข์จริงๆ หากไม่รู้จักทุกข์ว่าคืออะไร ทุกข์คือสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ หนทางคือเข้าใจว่าเป็นธรรม ต้องเข้าใจเบื้องต้นอย่างมั่นคงจริงๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา จึงไม่มีตัวตนที่จะพยายามโยนิโสมนสิการ แต่ธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัยให้คิดอย่างนั้น มั่นคงว่าเป็อนัตตา จะนำไปสู่ความเห็นถูกจนนำไปสู่การเข้าใจทุกข์จริงๆ ที่มีในขณะนี้ คือสภาพธรรมที่มีจริงนั่นเองครับ วิธีไม่มีนอกจากความเข้าใจว่าเป็นธรรมและเป็นอนัตตา
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
"เรา" จะพยายามทำให้ไม่ทุกข์เท่าไหร่ๆ ก็คงจะไม่ได้น่ะค่ะ สภาพธรรมะเท่านั้นที่จะมีปัจจัยปรุงแต่งให้ปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรมะ
เพิ่มขึ้นๆ ทีละเล็กละน้อย ละคลายกิเลส ตัวเล็ก ตัวใหญ่ ขัดเกลาให้ความหยาบกระด้างลดน้อยลง ตามลำดับน่ะค่ะ ค่อยๆ เจริญปัญญาไปด้วยกันนะคะ ฟังต่อไปค่ะ
อนุโมทนา
การไม่ทุกข์เพราะการพิจารณาถึงเรื่องการรับผลของกรรมในอดีตที่เราทำไว้ มันเป็นเพียงเรื่องราวจากการศึกษาเขัาใจในกรรมและผลของกรรม แม้จะทำให้เราสงบได้ไม่ทุกข์ก็เพียงชั่วคราว ยังไม่สามารถขัดเกลากิเลสได้ การขัดเกลากิเลสต้องเป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งเกิดจากการค่อยๆ อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อกำลังได้รับผลของอกุศลกรรมในอดีตที่เราทำไว้ เรายังเป็นปุถุชนหนาด้วยกิเลส เมื่อได้รับผลของอกุศลกรรมก็ย่อมทุกข์ใจ เสียใจเป็นธรรมดา แต่สิ่งสำคัญต้องค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาพิจารณา หรือระลึกลักษณะทุกข์ใจ เสียใจว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดก็เกิดขึ้น ขออนุโมทนาค่ะ
ใช่ค่ะ ชีวิตนี้ที่จะไม่ทุกข์นั้นไม่มี ถ้าเรายังมีกิเลส แต่เราต้องอยู่กับความทุกข์ให้ได้ คือการพิจารณาว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถบังคับได้
หากแต่บุคคลเมื่อประสบทุกข์ภัยแล้ว ถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ถือพระพุทธคุณเป็นกำลังใจ
ถือพระธรรมเป็นประทีปนำทาง
ถือพระสงฆ์เป็นครูผู้สั่งสอนถ่ายทอด
มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
ทุกข์ทางกาย เกิดจากผลของอกุศลกรรม ทุกข์ทางใจ เกิดจากการได้รับอกุศลวิบากทางตา หู จมูก ลิ้นและกาย แล้วไม่พอใจ เพราะไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ทุกข์ เกิด แล้ว ต้องดับ ไม่ต้องทำอะไร มีปัญญาเมื่อไร ก็ไม่มีทุกข์ทางใจ แต่ยังมีทุกข์ทางกายอยู่ค่ะ ถ้ามีเหตุปัจจัยให้เกิด