การเจริญกุศล...เพื่อการขัดเกลากิเลส
ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย
การเจริญกุศลที่มีอานิสงส์มาก เป็นกุศลที่เป็นไปในการขัดเกลากิเลส ละกิเลสได้มากเท่าใด ผลก็จะประณีตมากขึ้นไปตามลำดับ เมื่อยังมีความเข้าใจผิดทำบุญกุศลด้วยความต้องการผล ก็ไม่มีอานิสงส์มากเท่ากับการขัดเกลากิเลส เพราะว่าการทำบุญกุศลด้วยความต้องการผล เป็นบุญกุศลที่เจือไปด้วยความเศร้าหมอง มีความโลภ และความหลง เป็นต้น
เริ่มต้นใหม่...ด้วยจิตที่เป็นกุศลนะคะ
ผลและอานิสงส์ที่เป็นไปเพื่อวัฏฏะ ย่อมไม่ประณีตเท่าผลสู่วิวัฏฏะคือพระนิพพาน
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ไม่ควรลืมจุดประสงค์ของการศึกษาธรรมและการเจริญกุศล เป็นไปเพื่อละทั้งหมด แต่ธรรมอะไรที่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสนั่นคือปัญญา ปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เป็นความเห็นถูกที่ขัดเกลากิเลสคือ ความไม่รู้ ประการสำคัญ แม้จะเข้าใจหนทางการขัดเกลากิเลสคือการระลึกรู้สภาพธรรมที่มีในขณะนี้แล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่อบรมเจริญกุศลทุกประการด้วยความเห็นถูกก็เปรียบเหมือนคนที่มองเห็นทางแต่ไม่มีแรงที่จะเดิน ดังนั้น เมื่อมีความเห็นถูกแล้ว กุศลประการต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นไปเพื่อละทั้งหมด ให้ทานเพื่อขัดเกลากิเลสคือ ความตระหนี่ เป็นไปเพื่อละ รักษาศีลเพราะเห็นโทษของการล่วงออกมาทางกาย วาจาที่ไม่ดี เป็นไปเพื่อละ ดังนั้น จึงเป็นไปเพื่อละทั้งหมด อันเกิดจากความเห็นถูก จึงเป็นบารมีครับ ขาดบารมีไม่ได้ แต่ไม่ใช่ไปทำบารมี แต่เพราะมีความเห็นถูก (ปัญญา) การกระทำต่างๆ จึงเป็นไปเพื่อละกิเลส และน้อมไปในการออกจากสังสาวัฏ จึงเป็นบารมี แม้จะไม่กล่าวว่าบารมีก็ตามครับ เมื่อมีความเห็นถูกย่อมไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ อันเป็นไปเพื่อการละและขัดเกลากิเลส
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาคะ
ศึกษาธรรม มีความเข้าใจ และเกิดปัญญา เท่านั้นที่ขัดเกลากิเลส
ขอให้เจริญมั่นคงในกุศลทุกประการ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อละความไม่รู้ แม้ในเรื่องของการเจริญกุศล ก็ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อขัดเกลากิเลส กุศลเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ควรที่จะอบรมเจริญในชีวิตประจำวัน ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นจะเบาสบาย ผ่องใส ซึ่งจะตรงกันข้ามกับขณะที่จิตเป็นอกุศลอย่างสิ้นเชิง
แม้ในขณะที่ให้ทาน ไม่ใช่ให้เพื่อหวังผลเป็นสิ่งตอบแทนจากการให้ แต่ต้องศึกษาให้เข้าใจสภาพของจิตใจในขณะนั้นว่า เป็นผู้ที่มีความผูกพันในการให้ หรือตั้งตนไว้สูง (มานะ) กว่าผู้ที่รับหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียด ถ้าเป็นผู้ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ก็จะทำให้เห็นอกุศลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงแล้วเริ่มขัดเกลากิเลสของตนเอง และเป็นผู้ที่เข้าใจในเหตุในผลมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดย่อมเป็นเพราะได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรม ปัญญาเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนั้น การเจริญกุศลเพื่อหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดตอบแทนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ถ้าเริ่มเข้าใจพระธรรมไปตามลำดับแล้ว การเจริญกุศลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในขั้นของทาน
(การให้ สละวัตถุสิ่งของ เพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น อันเป็นการสละซึ่งความตระหนึ่) ขั้นของศีล (งดเว้นจากทุจริตกรรมประการต่างๆ และประพฤติในสิ่งทีดีงาม)
ขั้นของภาวนา (การอบรมเจริญความสงบของจิต และการอบรมเจริญปัญญาที่ประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง) ย่อมเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น ครับ
...ขออนุโมทนาครับ...
..
กิเลสเป็นสิ่งที่ดับได้ยาก
เพียงแค่จะละคลายบรรเทาก็แสนยาก
การเจริญกุศลนั้นต้องเจริญทุกประการเพื่อจะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้นดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น จึงต้องเริ่มด้วยการฟังพระธรรมควรพิจารณาให้รู้ว่าฟังด้วยความตั้งใจมั่นคงที่จะเข้าใจเพื่อประพฤติปฎิบัติตามเท่าที่จะทำได้ในแต่ละชาติเพื่อเป็นบารมีจนสามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ