กับคำถามที่ว่า..ขณะนี้เห็นหรือคิด?
ขณะนี้เห็นหรือคิด?
เป็นคำถามที่ข้าพเจ้าได้ยินจากการถามของท่านอาจารย์สุจินต์บ่อยครั้งในช่วงนี้ ซึ่งเป็นคำถามที่เป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน จึงน่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคำถามนี้ หากสหายธรรมได้คิดพิจารณาและตอบกับคำถามนี้ว่า
ขณะนี้เห็นหรือคิด?
เชิญร่วมสนทนาเพื่อความเข้าใจขึ้นทีละเล็กละน้อย ขออนุโมทนา
ขณะนี้เห็นหรือคิด? เห็นแล้วคิดแล้วด้วย แม้รู้ขั้นการฟังว่าเป็นคนละขณะ แต่ก็เหมือนเห็นและคิดเกิดขึ้นพร้อมกัน
ถ้าถามว่า แล้วทำอย่างไร คำตอบก็คงเป็นยังมีตัวตนที่จะทำ ถ้าถามว่าถ้าละความเป็นตัวตนได้ก่อน จึงสามารถประจักษ์ว่าเห็นและคิดเป็นคนละขณะ? ในขณะที่เป็นสติปัฏฐานละความเป็นตัวตนได้ไช่หรือไม่ แต่ปัญญาขั้นแยกแยะทวาร (เห็นเกิดทางปัญจทวารและคิดเกิดทางมโนทวาร) เป็นสติปัฏฐานในอีกระดับที่ว่าแยกเห็นกับแยกคิดได้หมายถึง แยกรูปแยกนามได้ใช่หรือไม่.
เข้าใจถูกหรือผิดอย่างไร..กรุณาแนะนำด้วยคะ
ขณะนี้เห็นหรือคิด?
ขณะนี้เห็นอะไร?
เป็นคำถามที่ท่านอาจารย์ จะถามจะเกี่ยวกับขณะนั้นเรารู้ตัวหรือเปล่าว่าเป็นธรรมะซึ่งกำลังปรากฎเป็นปัจจุบันขณะ ส่วนใหญ่เรามักจะหาคำตอบว่าเห็นเป็น คน เป็นสัตว์ สิ่งของ แต่แท้จริงแล้ว เห็นและคิดได้เกิดและดับแล้ว แต่มีสภาพธรรมะอีกชนิดเกิดขึ้นมาคือ เรากำลังคิดหาคำตอบให้อาจารย์ว่าจะตอบอะไร โดยขณะที่เราคิดหาคำตอบคิดก็เป็นเราที่คิด และเป็นต่อจากนั้นก็เป็นเราที่พูด และก็จะเป็นอย่างนี้จนกระทั่งสติปัฏฐานเกิดระลึกขณะที่เห็นกับที่คิดแยกจากกัน หรือเกิด สันตติ หรือการสืบต่อ
แยกรูปแยกนาม เป็นนามรูปปริเฉท ... (เขียนไม่ถูกก็ขออภัยด้วยนะครับ) ฉะนั้นต้องประจักษ์ก่อนหรือรู้ก่อนถึงจะละได้ เป็นการละโดยไม่ต้องคิดนะครับ แต่ถ้าเห็นเป็นโน่นนี้หรือแม้กระทั่งเลยเถิดเกิดอาการชอบ ใจ หรือไม่ชอบใจขึ้นมา แล้วค่อยนึก (ตัวนี้คือสภาพธรรมะตัวใหม่ที่เกิด) ได้ว่าที่เห็นไม่ใช่เราเห็น อันนี้ก็ยังไม่ใช่ ยังเป็นการคิดอยู่ แต่ถ้ารู้ว่าคิดความคิดก็จะดับลงทันที อันนี้ก็ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวและตามที่ได้รับฟังจากครูบาอาจารย์มา แล้วแต่ท่านผู้รู้จะพิจารณา ผิดถูกประการใดข้าพเจ้าก็ขออภัยและขออโหสิกรรมด้วยนะครับ
ขณะนี้เห็นหรือคิด?
ผมไม่ได้อยู่ในที่สนทนาขณะที่ท่านอาจารย์ถามคำถามนี้ แต่เข้าใจว่าเป็นคำถามที่ท่านอาจารย์ไม่ต้องการให้เราตอบท่าน เพราะแม้การให้คำตอบกับตัวเองเป็นคำพูดอธิบายความเห็นถึงคำถามนี้ก็ยังเป็นเพียงเรื่องราว ไม่ใช่การระลึกรู้ขณะเห็นว่าเป็นเห็น และขณะคิดว่าเป็นคิดจริงๆ
เมื่อสรุปตามความเข้าใจจึงเห็นว่า ประโยคคำถามนี้น่าจะเป็นข้อความเพื่อเตือนใจผู้ศึกษาธรรมให้ระลึกสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เองว่า เป็นเห็นหรือคิด?, ได้ยินหรือคิด? ,.....,กระทบสัมผัสหรือคิด? โดยไม่ต้องหาคำในภาษาใดๆ ไปใส่ (Label) เลยว่า ขณะนี้เห็นหรือคิด? ฯลฯ
ขณะนี้เห็นหรือคิด?
เป็นคำถามที่ข้าพเจ้าได้ยินจากการถามของท่านอาจารย์สุจินต์บ่อยครั้งในช่วงนี้
เป็นครั้งแรกที่ผมตอบได้เต็มปากว่า ขณะนี้ " เห็น " เพราะว่า แทบทุกครั้งที่
" ได้ยิน " คำถามนี้ ผมมักตอบในใจเสมอว่า ขณะนี้ " ได้ยิน "
ขออนุโมทนาครับ
ขณะนี้เห็นหรือคิด?
คำถามนี้ท่านอาจารย์เมตตาเกื้อกูลให้ผู้ที่ถูกถามว่า เข้าใจสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏแล้วหรือยัง ใครจะตอบได้ คนอื่นจะตอบให้ก็ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ตัวเอง ท่านอาจารย์ก็บอกไม่ได้ ขณะนี้ทุกคนก็เห็นเหมือนกันหมด แต่จะมีสักกี่คนที่ เห็นเป็นเห็น ไม่เป็นอย่างอื่น
ของจริงไม่มีชื่อ มีชื่อไม่ใช่ของจริง
ขออนุโมทนาครับ
โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจ สิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าว แต่อธิบายเป็นข้อความไม่ได้ เพราะยังอยู่ในระหว่างเรียนรู้และสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันยังเกิดน้อยมาก แต่เคยผ่านข้อความบางตอนจาก หนังสือบทสนทนาธรรม
ระหว่างท่านอาจารย์สุจินต์ และคุณวันทนา ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า อธิบายคำถามนี้ได้ในระดับหนึ่ง ท่านว่า "ถ้ามีจิตขณะใด ก็ต้องมีอารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ขณะนั้นด้วยทุกครั้ง"
ส. เวลาที่คุณวันทนานั่งรถ แล้วแทนที่จะดูสองข้างทาง ก็มัวคิดอะไรเพลินใช่ไหมคะ?
ว. ค่ะ
ส. ขณะนั้น คุณวันทนามองเห็นอะไรบ้างหรือเปล่าคะ?
ว. เห็นค่ะ แต่ไม่ทราบว่าเห็นอะไร
ส. ถึงจะไม่ทราบว่าเห็นอะไร เพียงแต่เห็นสีต่างๆ ที่ปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นจิตที่มีรูปสีเป็นอารมณ์ ไม่จำเป็นที่คุณวันทนา จะต้องรู้ว่าเห็นอะไร ขณะใดที่มีสีปรากฏ ขณะนั้นก็จะต้องมีจิตที่เห็นสีนั้นด้วย ฉะนั้น เมื่อมีจิตเห็น สีก็ต้องเป็นอารมณ์ของจิตเห็น และขณะที่คุณวันทนาคิดถึงเรื่องอื่น โดยที่ไม่สนใจกับสิ่งที่ คุณวันทนามองเห็น ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องอะไร เรื่องนั้นก็เป็นอารมณ์ของจิตที่คิดเรื่องนั้น ขณะนั้นค่ะ
ว. ก็หมายความว่า อารมณ์ของจิตนี่สลับกัน อาจจะเห็นแล้วก็คิดนึก อย่างนี้ใช่ไหมคะ
ส. ค่ะ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เป็นอารมณ์ คือสิ่งที่จิตกำลังรู้ในขณะนั้น ขณะที่เห็น จิตมีสีเป็นอารมณ์ และขณะที่คิดนึกถึงเรื่องอื่น ก็มีเรื่องอื่นเป็นอารมณ์.
อนุโมทนาค่ะ.
ผมฟังธรรมอยู่ในวันที่ท่านอาจารย์สอนเรื่องเห็นและคิด และถ้าผมจำไม่ผิดอาจารย์ถามว่า ขณะนี้เป็นเห็นหรือเป็นคิด วันนั้นผมตอบท่านไปว่า เห็นมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ส่วนคิดมีบัญญัติเป็นอารมณ์ แต่หัวข้อนี้ถามถึง ขณะนี้เห็นหรือคิด (ไม่ใช่เป็นเห็นหรือเป็นคิด) แต่ก็จะเป็นคำตอบเดียวกันคือ ถ้ารู้ว่าอารมณ์ที่แตกต่าง ก็น่าจะรู้ว่าเป็นเห็น หรือเป็นคิด มันยากอยู่ที่ว่าเห็นแล้วคิดเลยเร็วมาก จนไม่รู้ว่าเป็นเห็นหรือเป็นคิด
ขณะนี้เหมือนกับว่า จะหลอมรวมกันเป็นเห็นด้วย และคิดด้วยผู้ที่ไม่รู้ก็คิดว่า ตนกำลังอยู่ในโลกของความจริงทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นเพียงแต่เรื่องราวเป็นดั่งเงาของปรมัตถ์ที่สืบต่อกันอำพรางความจริงให้ปรากฏเสมือนความฝันถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ก็หมดวิสัยจะไปรู้ในธรรมะที่เกิดดับเพียงช่วงเวลาอันแสนสั้น...ขออนุโมทนาครับ...
จากความเห็นที่ ๙.
เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นเห็นหรือเป็นคิดกับขณะนี้เห็นหรือคิดไม่ต่างกันค่ะแต่คำตอบที่ว่า ถ้ารู้อารมณ์ที่แตกต่างก็ต้องรู้ (ไม่ใช่น่าจะ) ว่าเห็นกับคิดมีอารมณ์ต่างกัน
เห็นต้องมีสีเป็นอารมณ์ คิดต้องมีเรื่องราวแป็นอารมณ์ซึ่งก็จริงที่เกิดดับเร็วมากจนไม่รู้ว่าเป็นเห็นหรือเป็นคิด นอกจากปัญญาจะเกิดและสามารถแยกได้ว่าขณะเห็น ขณะคิดเป็นคนละขณะกัน (จิตต่างกัน จะรู้อารมณ์เดียวกันไม่ได้)
ขอบคุณความคิดเห็นที่ ๑๑ ที่ช่วยแก้ให้ แต่ที่เขียนคำว่า น่าจะ คือผมไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้อ่านจะรู้หรือไม่รู้ แต่ถ้ารู้ก็อนุโมทนา ส่วนเป็นเห็นหรือเป็นคิด และเห็นหรือคิด ถ้าไม่แตกต่างก็ โอเค ผมเกรงว่าจะมีผู้เข้าใจเห็นหรือคิดต่างออกไป จะทำให้ความคิดเห็นของผมไม่ตรงหัวข้อ
ขออนุโมทนาครับ
ขณะที่คิด (รู้) ว่าเห็น การเห็นนั้นดับไปแล้ว
ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ
ตอบความเห็นที่ 1 ค่ะ
1. ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกสภาพธรรมะที่มีจริงที่กำลังปรากฏตรงลักษณะนั้น
ขณะนั้นละความเป็นตัวตนชั่วขณะที่สติปัฏฐานเกิดค่ะ
2. แยกเห็นกับแยกคิด ไม่ใช่แยกนามธรรม รูปธรรม เพราะเห็นหรือคิดเป็นนามธรรมทั้งคู่ค่ะ
คำถามทุกๆ คำถามของท่านอาจารย์มีความหมายลึกซึ้ง ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยฟังบรรยายจาก MP3 รุ่นก่อนๆ ท่านอาจารย์จะบรรยายละเอียด แต่ที่มูลนิธิฯ ทุกวันนี้ท่านจะถามคำถามสั้นๆ แต่ว่าลึกซึ้งมากๆ ถ้าพิจารณาให้ดีดี แต่ถ้าไม่พิจารณาก็คิดว่าท่านถามแค่นั้นว่าเห็นหรือคิด อย่างเช่น ตอนที่ไปสนทนาธรรมที่เชียงใหม่ก็สนทนาเรื่องอะไรอยู่จำไม่ได้แล้วค่ะ แล้วท่านถามกลับว่า "แล้วไง" ค่ะ ประโยคนี้ก็เลยเป็นประโยคฮิตในประเด็นการสนทนาวันนั้นเลยน่ะค่ะ ทุกๆ คำพูดของท่านอาจารย์มีประโยชน์มากถ้าฟังให้ดีดีค่ะ อนุโมทนา