ความเป็นอนัตตา...กับ...การหลุดพ้นจากสังสาร

 
Endeavor
วันที่  20 ก.ค. 2551
หมายเลข  9305
อ่าน  3,071

สภาพธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา

การบรรลุคุณธรรมขั้นต่างๆ ของพระอริยสาวกทั้งหลายจนถึงที่สุดแห่งสังสารถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ใช่ตัวตนที่จะเร่งให้ถึงตามต้องการ แต่ต้องเป็นเพราะเหตุปัจจัยที่แต่ล่ะท่านได้สั่งสมไว้แม้จะต้องใช้เวลาอบรมสั่งสมเหตุปัจจัยนานเพียงใด ก็ได้มีผู้ที่ดับขันธ์มาแล้วมากมาย และก็คงจะยังมีต่อไปอีกเรื่อยๆ ในอนาคต

ผมได้ฟังไฟล์ "การเจริญเมตตา ๑๐" (ในหัวข้อ เริ่มด้วยความเข้าใจ) ช่วงประมาณนาทีที่ 7.00 พระผู้พระภาคได้ตรัสว่า "สังสารนี้กำหนดที่สุด เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ พอเพื่อจะหลุดพ้น "

ทีแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนหรอกครับ แต่อยู่ๆ ก็มีความคิดที่ว่าอืมม ถ้าอย่างนั้น สัตว์ทั้งหลาย (ทั้งหมดเลยนะครับ) ในที่สุดแล้วก็จะถึงการหลุดพ้น ถึงพระนิพพานด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่า ช้า เร็วไม่เท่ากันเท่านั้นเอง

เพราะถ้าลองคิดถึงหลักความน่าจะเป็นดูนะครับ ที่ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็จะต้องมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น แต่ละคนไม่ว่าจะเคยเดินผิดทางจมดิ่งลงไปในวัฎฎะมามากมายเพียงไหน (ซึ่ง ทุกคน ก็ต้องเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น) แต่ในชาติหนึ่งชาติใดหลังจากนั้นก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้พบพระผู้มีพระภาค ได้ฟังธรรม จนเกิดศรัทธา จนเริ่มมีความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ สะสมไปในแต่ละชาติด้วยกันทั้งนั้น จน ในที่สุดทุกคนก็ได้หลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เพราะธรรมะทั้งหลายรวมทั้งสัมมามรรคนั้นเป็นอนัตตา

ไม่ทราบว่าแต่ละท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ

ปล. ไม่ทราบว่าแต่ละท่านจะเข้าใจคำถามของผมหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้มีเจตนาให้ทุกท่านละความเพียรนะครับ เพราะความเพียรเป็นปัจจัยที่สำคัญในการถึงการดับทุกข์เป็นสมุจเฉท ควรฟังธรรมและปฏิบัติธรรมะสมควรแก่ธรรมะด้วยความไม่ประมาทครับ ไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ ครับที่จะละทิ้งเหตุปัจจัยแห่งสัมมาวิริยะ แต่ผมอยากสอบทานความเข้าใจในความเป็นอนัตตา เท่านั้นเองครับ

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 21 ก.ค. 2551

ที่ว่าในที่ทุกคนก็ได้หลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์ ตรงนี้ไม่เห็นด้วยครับ เพราะสัตว์ที่จะหลุดพ้นได้ต้องอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ จนคู่ควรแก่การหลุดพ้น แต่ก็มีพระพุทธพจน์ตอนหนึ่งว่า จำนวนของสัตว์ในวัฏฏะนี้มีจำนวนมากเป็นอนันตะคำว่า อนันตะ มีความหมายว่านับปริมาณไม่ได้ แม้โลกธาตุและจักรวาล ก็เป็นอนันตะเช่นกัน ดังนั้น การที่สัตว์ทั้งหมดจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ คือยังไงก็ไม่หมดครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ajarnkruo
วันที่ 21 ก.ค. 2551

การใช้หลักความน่าจะเป็น ไม่น่าที่จะนำมาคาดการณ์ในสิ่งที่เกินวิสัยที่จะรู้เลยครับเพราะเหตุว่า เราอยู่ในโลกนี้ เราก็รู้เพียงความจริงบางประการในโลกนี้ แล้วเราก็เทียบเคียงด้วยความคิดเปรียบไปในสิ่งต่างๆ ที่ไม่พ้นไปจากโลกนี้ เพราะโลกอื่นๆ คิดๆ ไปก็หมดวิสัยที่เราจะรู้ได้จริง หากรู้จริงว่าจำนวนมีแน่ชัด ไม่เพิ่มอีกแล้ว ทุกคนย่อมอาจจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ได้ แต่ตามที่กล่าวในความเห็นข้างต้น คือสัตว์ที่วนเวียนไปในวัฏฏะมีจำนวนเป็นอนันตะ เพราะเหตุนี้ ควรอบรมเจริญปัญญารู้ความจริงที่กำลังมีปรากฏดีกว่าครับ เพราะสิ่งที่เกินวิสัย คิดอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบที่ถูกต้องที่สุด พุทธวิสัยของพระผู้มีพระภาคนั้น กว้าง ไกล ลึกซึ้ง เกินกว่าที่ใครจะคิดตาม รู้ตาม ความจริงที่พระองค์ไม่ทรงแสดง ด้วยไม่ทรงเห็นประโยชน์ที่จะเกิดแก่สัตว์โลกได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 21 ก.ค. 2551

ขออนุโมทนาคุณstudy และ คุณajarnkruoค่ะ

เหตุย่อมต้องสมควรแก่ผล

ถ้าผู้นั้นไม่ได้เจริญเหตุคือไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้อบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ผลคือการดับกิเลสเป็นสมุจเฉทบรรลุเป็นพระอรหันต์หลุดพ้นจากสังสารวัฎฎ์ย่อมเป็นไปไม่ได้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sam
วันที่ 21 ก.ค. 2551

ขออนุโมทนาคุณ Endeavor ครับ ที่ได้สอบถามความเข้าใจกับท่านผู้รู้ เพราะการคิดเอง พิจารณาเองหลังการฟังพระธรรมนั้น อาจทำให้มีความเห็นที่คลาดเคลื่อนได้

ผมเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 1 2 และ 3 ครับ และขอเสริมว่าการบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคลนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้โดยง่าย เพราะเป็นการทวนกระแสของกิเลสโดยเฉพาะความเห็นผิด ตรงกันข้ามกับการไปสู่วัฏจักรแห่งอบายภูมิอันเนื่องมาจากการปล่อยกาย วาจา ใจ ให้ไหลไปตามกระแสของอกุศล

เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ได้ทรงรำพึงว่าธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นรู้ตาม เห็นตามได้ยากสำหรับผู้อื่น และในสังสารวัฏฏ์อันยาวนานนั้น การอุบัติขึ้นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งยาก การได้อัตภาพที่เหมาะสมและมีโอกาสฟังธรรมก็เป็นของยาก ดังนั้น สัตว์โลกที่จะหลุดพ้นจากการเวียนเกิดเวียนตายนี้ย่อมมีน้อยเมื่อเทียบกับสัตว์ทั้งหมดครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 21 ก.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกมากมาย และในอนาคตก็จะอุบัติขึ้นอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม หากแต่ว่าจำนวนสัตว์ก็นับไมได้ ไม่มีกำหนด จึงไม่มีวันที่สัตว์จะบรรลุได้หมด เพียงเพราะพระพุทธเจ้าจะอุบัติอีกมาก อีกทั้งพระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ผู้ที่มีความเห็นผิดจนดิ่ง เช่น ยึดมั่นจนดิ่งที่ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม เป็นต้น ก็จะเป็นตอของวัฏฏะ คือ ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ไม่สามารถหลุดพ้นได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ช่วยเหลือไม่ได้ พระธรรมไม่สาธารณะกับคนทั่วไป แม้ในสมัยพุทธกาล บางคนได้ยินพระธรรมและได้ศึกษาพระธรรมและก็บวชด้วย ก็ยังเป็นผู้เห็นผิดและติเตียนพระพุทธเจ้าก็มี เช่น สุนัขขัตลิจฉวีบุตร ดังนั้น พระพุทธเจ้าจะอุบัติอีกมามายเท่าไหร่ในอนาคต สัตว์ก็ไม่มีทางหลุดพ้นไปหมด เพราะสัตว์มีจำนวนนับไม่ได้ เป็นผู้มีความเห็นผิดอย่างดิ่ง เที่ยง เป็นตอของวัฏฏะ

ผู้ที่จะเข้าใจพระธรรมต้องเป็นผู้ที่สะสมบุญมาแล้วในพระพุทธศาสนา พระธรรมละเอียดลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจได้

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Endeavor
วันที่ 22 ก.ค. 2551

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ และอนุโมทนากับทุกท่านที่ช่วยแสดงความคิดเห็นกับข้อสงสัยของผมนะครับ ผมต้องขออภัยจริงๆ ครับเพราะบางครั้งผมเองก็ยังคิดว่า การสงสัยแบบนี้มีประโยชน์หรือเปล่า? ไร้สาระหรือเปล่าที่จะคิดแบบนี้? เสียเวลาหรือเปล่า? แต่ผมก็เคยมีความเห็นเหมือนที่แต่ละท่านได้กล่าวมาครับ แต่ตอนนี้ผมมีความคิดต่างออกไป คือเมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างของ

(1) ผู้ที่เจริญกุศลทุกประการเพื่อละคลายกิเลสในชีวิตประจำวัน กับ

(2) ผู้ที่ยังไม่เคยฟังพระธรรมที่ยังหลงไหลไปกับอกุศลครับ

ก็มาคิดว่า คนที่ (1) ที่กำลังขัดเกลากิเลส ดำเนินหนทางแห่งการดับทุกข์ ก็เคยผ่านการเป็น (2) มาแล้วทั้งสิ้น แล้วจะมีข้อแตกต่างอะไรกันระหว่าง คนที่กำลังเป็นแบบ (2) กับคนที่เคยเป็น (2)

(เชื่อว่าทุกท่านก็น่าจะตอบว่า "ความเห็นถูก" ไงครับ ที่ทำให้ (2) เปลี่ยนเป็น (1)) นั่นไงครับ ถ้าความเห็นถูกและปัญญา นำไปสู่การดับ คนที่เป็นแบบ (2) ถ้ายังเห็นผิดก็จะยังเป็น แบบ (2) ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสงสัยเลย แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เกิดความเห็นถูก เข้าใจถูก ปฏิบัติถูกขึ้นมาก็สามารถไปสู่ความดับได้ เพราะฉะนั้น (2) ก็จะทะยอยกันเปลี่ยนไปเป็น (1) ไปเรื่อยๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ซึ่งก็เป็นอนัตตาจริงๆ ใช่ไหมครับที่จะเป็นแบบนี้ และการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังมีเรื่อยๆ ต่อไปอีกเมื่อจำนวนสัตว์ทั้งหลายที่เป็นแบบ (2) ยังคงมีมากมายเป็นอนันตะแต่ผมเชื่อว่ากาลเวลาย่อมเป็นอนันตะยิ่งกว่า เพราะสัตว์ทั้งหลายมีจำนวน แต่กาลเวลาไม่ใช่จำนวนครับ ความยาวนานของการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารเป็นอนันตะยิ่งกว่า คือนานเพียงพอที่จะทำให้ไม่ว่าใครที่เป็นแบบ (2) ก็ย่อมเปลี่ยนเป็น (1) ได้ในที่สุด ด้วยความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหลาย และด้วยความเป็นอนันตะของสังสารนี้ (จากข้อความที่สะกิดใจผมที่ว่า "สังสารนี้กำหนดที่สุด เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ พอเพื่อจะหลุดพ้น ")

ผู้ที่กำลังเป็น (1) ต่างกับ (2) คือ (1) เป็นสภาพธรรมที่ใกล้ความดับมากกว่า (2) เท่านั้นเองครับ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีคนแบบ (2) คนไหนที่จะไม่เปลี่ยนเป็น (1) เลย เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอนัตตา ....

ผมมีความเห็นแบบนี้ครับ จะถูกหรือจะผิด ยังไง ผมยินดีน้อมรับความจริงทั้งสิ้นครับ ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ผู้ใดเชื่อตามเลยครับ เพียงแต่ต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากการฟังธรรม อย่าเชื่อในสิ่งที่ยังไม่ได้ประจักษ์ครับผม

ถ้าความคิดเห็นของผมไม่เป็นประโยชน์ที่จะนำมาพูดถึง ผมก็ขอกราบขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ครับ และต้องขออภัยจริงๆ ที่ทุกคนที่ได้สละเวลาและพยายามทำความเข้าใจประเด็นคำถามนี้ ซึ่งต้องใช้พลังงานทางความคิดอย่างมากเลยครับ

ยินดีเสมอครับที่แต่ละท่านได้วิจารณ์ความเห็นของผม ขอบคุณจากใจครับ

ขออนุโมทนาสำหรับกุศลจิตทุกดวงที่พิจารณาธรรมะทั้งหลาย ตามเหตุและผลตามความเป็นจริงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Sam
วันที่ 22 ก.ค. 2551

ตอบความคิดเห็นที่ 6 ครับ

ผมคิดว่าทุกคำถามที่เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรม ไม่ใช่สิ่งไร้สาระในทางตรงกันข้าม กลับเป็นสาระอย่างแท้จริงเมื่อเปรียบเทียบกับคำถามในเรื่องการเรียนและชีวิตความเป็นอยู่ทางโลก ทั้งนี้เพราะทุกความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นจากคำถามเหล่านี้เสมือนเป็นอีกก้าวเล็กๆ อันเข้าใกล้สู่พระนิพพานอันแสนไกลครับ

คุณ Endeavor ได้แบ่งสัตว์ออกเป็นเพียง (1) และ (2) นั้น ผมคิดว่าเป็นการแบ่งที่ไม่ละเอียดเพียงพอครับ เพราะสัตบุรุษกับอสัตบุรุษนั้นมีคุณธรรมที่ต่างกันมาก ภูมิที่เกิดของสัตว์ ก็มีสุขและทุกข์ที่ต่างกันมาก และอัตภาพของสัตว์ทั้งหลายก็ประณีตและทรามต่างกันมาก แม้แต่สัตว์แบบ (1) นั้น คุณธรรมก็ต่างกันมาก มีทั้งผู้ที่เริ่มศึกษา ผู้ที่เริ่มมีความเข้าใจ ไปจนถึงพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ซึ่งผู้ที่กำลังศึกษาเพื่อการขัดเกลากิเลสนั้น ตราบใดที่ยังไม่บรรลุเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่แน่ว่าจะตกไปสู่วงจรแห่งความเห็นผิดอันปิดกั้นการรู้แจ้งอริยสัจจ์ได้

ผมเองก็เคยคิดไปว่าบัวสี่เหล่าตามที่ทรงแสดงไว้นั้น บัวพ้นน้ำก็เคยเป็นหน่อของบัวใต้น้ำมาก่อน ดังนั้น ในที่สุดแล้วทุกหน่อก็น่าจะเจริญเติบโตขึ้นเป็นบัวพ้นน้ำได้ทั้งหมด โดยอาศัยเพียงกาลเวลาที่นานพอ โดยลืมนึกไปว่าคงมีหลายๆ หน่อที่ถูกเต่าและปลากินไปเสียก่อนซึ่งแม้จะเติบโตจนเป็นบัวปริ่มน้ำแล้วก็ยังไม่พ้นอันตราย

หากเรายังไม่เข้าใจความไม่แน่นอน อันเป็นผลสืบเนื่องจากการที่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาแล้ว จะทำให้เป็นผู้ประมาทในอันตรายของสังสาวัฏได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
prakaimuk.k
วันที่ 22 ก.ค. 2551

เข้าใจการคิดพิจารณาของผู้ตั้งกระทู้ค่ะ แต่ละบุคคลมีการพิจารณาสี่งที่ได้ยีนได้ฟังต่างๆ กันตามการสะสมที่ต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายสูงสุดของการศึกษาพระธรรมก็เพื่อให้เกิดปัญญารู้ชัดตามสภาพธรรมที่เป็นจริงที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพี่อความหลุดพ้น ไม่ใช่เพื่อติดข้องอยู่กับความคิดใดความคิดหนึ่ง ทำให้ล่าช้าและเป็นสภาพปิดบังค่ะ นอกจากนี้การศึกษาพระธรรมให้เข้าใจอย่างแท้จริง ต้องอาศัยการฟัง การพิจารณาอย่างละเอียดทั่วพร้อม จะคิดพิจารณาให้เข้าใจจากเพียงประโยคใดประโยคหนึ่งนั้นยังไม่เพียงพอค่ะ นอกจากว่าจะสะสมปัญญามามาก ดังบางท่านที่ปรากฏในพระไตรปิฎกที่ได้ฟังพระธรรมแล้วบรรลุธรรมเลย ไม่มีข้อสงสัยในสภาพธรรมต่างๆ อีกต่อไป ขณะใดที่คิดพิจารณาข้อธรรมะ ขณะนั้นมีสติเกิดร่วมด้วย ถ้าสามารถระลึกรู้สภาพธรรมในปัจจุบันว่า ขณะใดเป็นสติ ขณะใดเป็นคิดนึกเรี่องราว ระลึกบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะเป็นปัจจัยให้เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละคลายความสงสัยในข้อธรรมะ และในสภาพธรรมต่างๆ ได้ค่ะ

ขออนุโมทนาและให้กำลังใจในการเพียรศึกษาธรรมะอย่างสม่ำเสมอยิ่งขึ้นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ajarnkruo
วันที่ 22 ก.ค. 2551

เป็นธรรมดาที่ต้องสงสัยครับ แต่มีความมั่นคงขึ้นได้ว่าเป็นธรรมะทั้งหมด จะคิดถูก มีเหตุผล คิดดี คิดด้วยกุศล หรือคิดด้วยความสงสัย คิดเรื่องความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ก็เป็นแต่เพียงเรื่องราวที่เป็นอารมณ์ของจิตคิดเท่านั้นเอง เพราะเรื่องราวจะมีไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตที่คิดเกิดขึ้น ด้วยปัญญาของเราในขณะนี้ก็ยังไม่อาจจะรู้จริงๆ ว่า สิ่งนั้นจะเป็นไปตามที่คิดหรือเปล่า แต่ความคิดมีจริง เป็นจิต เป็นสภาพธรรมต่างๆ ที่กำลังเกิดร่วมกับจิต กำลังปรากฏให้สติระลึกและปัญญารู้ชัดขึ้นได้ว่า เป็นแต่เพียงคิด เป็นแต่เพียงธรรมะอย่างหนึ่งเท่านั้นเองครับ ถ้าเราเห็นว่า ธรรมะใดจะช่วยละคลายความเห็นผิดว่ามีตัวตน สัตว์ บุคคล รวมทั้งสละเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้ไม่รู้ความจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ก็ควรที่จะเจริญธรรมะนั้นบ่อยๆ เนืองๆ ใช่ไหมครับ

การยกพระพุทธพจน์ขึ้นมาตีความ เราอาจจะต้องสังเกตเพิ่มเติมว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสพระธรรมเทศนานี้กับใครด้วยครับ และสุดท้ายตรัสแล้ว ท่านผู้นั้นเป็นอย่างไร และเราอ่านแล้ว เราเป็นอย่างท่านผู้นั้นได้หรือเปล่า หรือเราก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ถ้าเรายังไม่เปลี่ยน เราอาจจะต้องอ่านอรรถกถาเพิ่มเติม ตรวจสอบคำแปลกับฉบับบาลี และอื่นๆ รวมทั้งสอบทานความคิดเห็นของเรากับท่านผู้รู้อีกหลายๆ ท่านครับ เพราะลำพังความคิดเห็นของเราเอง ไม่เพียงพอเลยที่จะหยั่งลงไปถึงพระธรรมอันบริสุทธิ์ เข้าถึงได้ยากลึกซึ้งดุจมหาสมุทรที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 22 ก.ค. 2551

การมีอัตภาพเกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยากอยู่แล้ว การอุบัติเกิดขึ้นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแสนยากยิ่งกว่า และมีเพียงพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้นก็คือ การอบรมเจริญสติปัฎฐานจนกว่าจะถึงการดับกิเลสหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท บรรลุเป็นพระอรหันต์จึงจะดับสังสารวัฎฎ์ได้ ไม่ว่าคนแบบที่ 1 หรือคนแบบที่ 2 ก็ตามกว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้มาพบพระพุทธศาสนากว่าจะได้เข้าใจพระสัทธรรมประพฤติปฎิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ถูกต้องก็แสนยาก ส่วนผู้ที่ไม่มีโอกาสได้มาพบได้มาศึกษาพระสัทธรรม และผู้ที่มีความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฎฐิ เป็นต้น ต้องวนเวียนอยู่ในวัฎฎะสงสารวนเวียนอยู่ในอบายภูมิบ้าง เกิดเป็นสัตว์เดรฉานบ้าง เปรตบ้างนับภพชาติไม่ได้ กว่าจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกและหากเกิดมาในอนันตกัปป์ที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติเกิดขึ้นอีก จึงเห็นได้ว่าสัตว์จำนวนมากมายเป็นอนันตะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎฎะสงสารในอนันตจักรวาลหาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้จริงๆ ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
khampan.a
วันที่ 22 ก.ค. 2551

ก่อนอื่นต้องมีความเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนว่า การบรรลุ ต้องเป็นปัญญา ไม่ว่าจะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรลุถึงเป็นพระอรหันตขีณาสพหรือบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นอื่นๆ อีก ต้องเป็นปัญญาทั้งนั้น ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว การที่จะบรรลุ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ปัญญา เป็นธรรมฝ่ายดี เป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง ที่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรม ตามความเป็นจริงแล้วในชาตินี้คงไม่ต้องกล่าวถึงการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมบรรลุ เป็นพระอริยบุคคล (โดยที่ไม่รู้อะไรเลย ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้) เพราะเป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่กว่าที่ปัญญาจะถึงระดับขั้นดังกล่าวได้นั้น ก็จะต้องค่อยๆ อบรมเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และต้องรู้ด้วยตนเองจริงๆ ว่า ได้มีการฟังพระธรรมจนกระทั่งมีความเข้าใจในสภาพธรรมซึ่งเป็นอนัตตา (ไม่มีตัวตนเลย แม้แต่ขณะเดียว) เพิ่มขึ้น มากน้อย แค่ไหน ดังนั้น จึงต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ ..

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 22 ก.ค. 2551

สัตว์โลกสั่งสมอุปนิสัยและปัญญามาต่างกัน แม้แต่ในสมัยพุทธกาลคนที่ได้ฟังธรรมจากพุทธเจ้า บางคนก็บรรลุเร็ว บางคนก็บรรลุช้า บางคนก็ไม่บรรลุ บางคนได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าแล้ว ภายหลังก็กลับไปเห็นผิด นับถือลัทธิอื่นค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ