เมื่อพบกันแล้วก็ควรเกื้อกูลกัน ดีกว่าโกรธกัน
โทสะนั้นมีความดุร้ายเป็นลักษณะ พึงเห็นเหมือนอสรพิษถูกประหาร มีการกระสับกระส่ายเป็นรส พึงเห็นเหมือนถูกยาพิษ อีกอย่างหนึ่ง มีการหม่นไหม้ นิสัยของตนเป็นรส พึงเห็นเหมือนไฟไหม้ป่า มีการประทุษร้ายเป็นปัจจุปัฏฐาน พึงเห็นเหมือนศัตรูได้โอกาส มีอาฆาตวัตถุเป็นปทัฏฐาน พึงเห็นเหมือนน้ำมูตรเน่าเจือด้วยยาพิษฉะนั้น.
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 1 โดย study
ผู้ที่ดับความโกรธได้เป็นสมุทเฉท คือ พระอนาคามี ท่านจะไม่โกรธอีกเลยส่วนปุถุชน หรือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี เมื่อมีเหตุให้โกรธก็โกรธเป็นธรรมดา ควรระลึกรู้ตามเป็นจริงว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา วิธีบรรเทาความโกรธทรงแสดงไว้มากมายในพระไตรปิฎก ฟังเรื่องความโกรธ คลิกที่นี่ ฟังเรื่องอัตตสัญญาหรือความเป็นเรา คลิกที่นี่
ในขณะที่โกรธไม่สามารถที่จะเกื้อกูลใครได้ต้องระงับความโกรธก่อนและความโกรธย่อมค่อยๆ น้อยลง ตามกำลังของปัญญา
อนุโมทนาคะ
ขออนุโมทนาค่ะ ความโกรธมีลักษณะดุร้ายจริงๆ แสดงออกให้เห็นชัดทั้งทางกาย และทางวาจาที่พ่นพิษออกมาดังอสรพิษจริงๆ แถมยังกระพือโหมเหมือนไฟป่ายากที่จะดับลงได้ง่ายๆ จนกว่าสติจะรู้ทันบ่อยๆ ขึ้น สามารถระลึกรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เราจะรู้จักกันอีกไม่นานการเห็นกันครั้งนี้อาจเป็นการเห็นครั้งสุดท้ายก็ได้ ควรทำดีต่อกันและให้อภัยกันเพราะไม่มีความอดทน (ขันติ) ทำให้เดือดร้อนในโลกนี้และโลกหน้าถ้าผู้มีคุณทำความเสียหายไม่ควรโกรธ แม้ผู้ไม่มีคุณทำผิดก็ยิ่งควรสงสารเป็นพิเศษ
ถ้าไม่มีผู้ทำให้เสียหาย ขันติสัมปทาของเราจะเกิดได้อย่างไร ทุกคนก็ยังมีกิเลส แม้คนที่ทำผิดและแม้ตัวเราเองก็ผิดพลาดเหมือนเขาได้ จะห่างไกลกันด้วยความเป็นมิตรหรือใกล้ชิดด้วยความเป็นศัตรู
เพราะเป็นธรรมฝ่ายดี (ขันติ) จึงไม่มีคำว่าสาย เมื่อเห็นประโยชน์ที่จะอบรม ไม่ใช่ทุกคนจะมีแต่ความไม่ดี ใครไม่ชอบเรา กิเลสของเขา ส่วนเรามีความเป็นมิตรด้วยใจจริงได้ โกรธบุคคลอื่น ใครทุกข์ ตัวเองหรือบุคคลอื่น ควรสงสารคนที่ทำผิดหรือทำความเสียหายให้เพราะเขากำลังสร้างเหตุที่ไม่ดี ถ้าสะสมความผูกโกรธ ความไม่เป็นมิตร ชาติหน้าก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีไม่ได้ ทำความเสียหายด้วยธรรมใดและทำในที่ใด ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมดก็ดับไปใน ขณะนั้นเอง บัดนี้ใครพึงทำความโกรธแก่ใคร. และใครผิดแก่ใครเพราะธรรมทั้ง ปวงเป็นอนัตตา
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ใครไม่ชอบเรา (ก็เป็นกิเลสของเขา) ก็เป็นความไม่ดีของเราเหมือนกันใช่ไหมคะ ที่ทำให้เขาไม่ชอบ