พญามาร - ท้าวสันดุสิต - ท้าวสักกะ
พญามาร คือ หัวหน้าเทพชั้นปรนิมมิตวสวตี สวรรค์ชั้นสูงสุดในกามภูมิ (ชั้นที่ 6)
ท้าวสักกะเทวราช (ราชาแห่งเทวดา) คือ หัวหน้าเทพชั้นที่ 2 (ดาวดึงส์)
ท้าวสันดุสิต คือ หัวหน้าเทพชั้นที่ 4 (ดุสิต) ชั้นที่มีพระโพธิสัตว์สถิตย์อยู่มากที่สุดและเป็นที่สถิตย์อยู่ภพสุดท้าย ก่อนที่จะจุติมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภูมิมนุษย์
จึงมีคำถาม ถามเพื่อนสมาชิกว่า
1. ขณะที่พระโพธิสัตว์อยู่ดุสิตในชาติสุดท้ายนั้นเป็นหัวหน้าเทพชั้นดุสิตหรือไม่ เพราะเหตุใด
2. กุศลที่ทำให้เกิดเป็นพญามาร ย่อมประณีตกว่า กุศลที่ทำให้เกิดเป็นท้าวสักกะและท้าวสันดุสิตใช่หรือไม่ (น่าจะใช่เพราะเป็นสวรรค์ชั้นที่ประณีตกว่า อายุเฉลี่ยของ
เทพชั้นปรนิม... คือ 9,216 ล้านปี - อายุเฉลี่ยของเทพชั้นดาวดึงส์ คือ 36 ล้านปี)
3. หัวหน้าเทพชั้นปรนิม... นี้ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเป็นพญามารทุกองค์
ความจริงทุกท่าน รวมทั้ง มด - ปลวก - แมลงสาบ....ฯลฯ....และสัตวโลกทุกภพภูมิเคยเกิดเป็น พญามาร - ท้าวสักกะ - ท้าวสันดุสิต มาแล้วทั้งนั้น (เพราะความยาวนานของสังสารวัฏฏ์) แต่ชาตินี้ผมระลึกชาติไม่ได้จึงมีข้อสงสัยมาถามเพื่อนสมาชิก (ที่ระลึกชาติไม่ได้เหมือนกัน) ช่วยแสดงความเห็นกันนะครับ....สนทนาธรรม
เท่าที่ฟังมา....เข้าใจว่าสิ่งที่ล่วงไปแล้วก็ล่วงไปแล้วสิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็ยังมาไม่ถึงชาติที่แล้วก็เป็นอดีตของชาตินี้ชาติหน้าก็เป็นอนาคตของชาตินี้ปัจจุบันกำลังสั่งสมอะไรอยู่?อันเป็นเสบียงเดินทางในสังสารวัฏฏ์อันยาวไกล
หากคำนึงถึงประโยชน์ในการรู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริงเพื่ออบรม ละคลาย ความถือมั่นว่าเป็นตัวตน เป็นเราลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ (ในภูมิที่เป็นมนุษย์) ที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นรู้ทั่วหรือยัง?
ท่านอาจารย์เคยสอนว่าขณะที่คิดเป็นเรื่องราว (ซึ่งเป็นปกติที่ห้ามความคิดไม่ได้) หากสติเกิด จะรู้ว่ากำลังห่างไกลจากสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ออกไปทุกที จึงอยู่ที่ความเข้าใจ ว่า ประโยชน์แท้จริงควรรู้อะไร? จาก....คนประมาท
อ้างอิงความเห็นที่ 1
สิ่งที่ล่วงไปแล้วก็ล่วงไปแล้วสิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็ยังมาไม่ถึง
สาธุ
เหตุที่สมควร คือ กุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั้นเองทำให้ท่านเหล่านั้นได้เสวยกุศลวิบากที่ประณีตกว่าในมนุสสภูมิกุศลกรรมนั้นๆ ก็ยังจำแนกให้ผลที่ท่านจะได้รับวิจิตรต่างๆ กันไปอีกถ้าหากจะนึกถึงท่านด้วยกุศลจิต ก็คือ นึกถึงคุณธรรมที่ทำให้ท่านได้เกิดบนนั้นเพราะผู้ที่จะเกิดเป็นเทวดาได้ ยากแสนยากกว่าการเกิดเป็นมนุษย์ยิ่งนักต้องเป็นผู้ที่เจริญคุณธรรมมีหิริ โอตตัปปะ เป็นต้น ครับ
ขอบคุณทุกท่านครับ
โดยเฉพาะได้อ่านความเห็นของ คุณ ajarnkruo แล้ว
เป็นเหตุให้เกิด เทวตานุสติ ได้บ้างเล็กน้อย ความคิด เป็นอนัตตา จริงๆ ห้ามไม่ได้
(ขอนอกเรื่องหน่อย)
เพื่อนผมท่านหนึ่ง ได้เล่าให้ฟังถึงตอนที่กลับจากงานเผาศพพี่บง (เธอผู้นี้มีประสบการณ์ เรื่องกลิ่นจากงานศพแบบนี้มาบ่อยๆ ) บอกว่า ได้กลิ่นซากศพ ตั้งแต่ออกจากวัดธาตุทองจนไปถึงสุพรรณบุรีเลยทีเดียว (พี่บงคงไปส่งถึงบ้านน่ะครับ) และไม่ได้เป็นคนเดียว (สามีของเธอก็ได้กลิ่นด้วย)
ผมก็คิดต่อไปอีกว่า ที่ปรากฏเป็นกลิ่นเหม็น เพราะเจ้าตัวอาจจะต้องการให้รู้ว่าเป็นเขา ถ้ามาแบบกลิ่นหอมเดี๋ยวจะเข้าใจว่าเป็นน้ำหอมติดรถยนต์อะไรทำนองนั้น
ส่วนวันนี้เพื่อนท่านนี้ ได้มาฟังธรรมที่ มศพ. ขณะนั่งฟัง ก็ได้กลิ่นธูป ซึ่งกลิ่นนี้ เป็นกลิ่นธูป ดอกใหญ่ ที่เขาใช้จุดในงานศพครับ
แถว มศพ. ไม่มีธูปชนิดนี้ แน่ๆ เรื่องอย่างนี้ ไม่เกิดกับใคร คนนั้นไม่รู้หรอกครับ
ท่านโมดิเลเตอร์ คงจะปล่อย คห.นี้นะครับ เพราะกระทู้นี้ คนอ่านน้อยอยู่แล้ว
เห็นด้วยค่ะ เรื่องอย่างนี้ไม่เกิดกับใคร คนนั้นไม่รู้หรอกจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้แต่ เท่าที่อ่านบรรทัดสุดท้าย
เข้าใจว่า คนเขียนกำลังน้อยใจน้อยใจเป็นสภาพธรรมที่มีเหตุเกิดแล้ว ดับแล้วเป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะให้เรียนรู้ได้ (ขออภัยหากคำตอบเป็นเหตุให้สะเทือนใจ จะระมัดระวังต่อไปค่ะ)
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
คุณพุทธรักษา เป็นคนละเอียดนะครับ ขอแสดงความชื่นชมครับ
สำหรับ ที่ว่า เป็นเหตุให้เกิด เทวตานุสติ ได้บ้างเล็กน้อย มิใช่ว่า คห.ของคุณ ajarnkruo จะไม่ดี หามิได้แต่เป็นเพราะ อกุศลที่สะสมมามากนั่นเอง ที่เป็นเหตุให้ สติเกิดได้เล็กน้อยเท่านั้น
สติ ก็เป็นสภาพธรรม อกุศลเกิดมาก ก็เป็นของจริง ปรากฏให้สติระลึกได้ใช่ไหมครับ คุณพุทธรักษา
เรื่องแปลกๆ มากมาย ใครไม่เจอ ก็ไม่รู้และไม่เชื่อเรื่องบางอย่าง ถ้าวันหนึ่งเจอเข้ากับตัวจริงๆ ก็ยากที่จะไม่ให้กลับไปคิดถึงแต่ไม่นาน ผู้ที่ศึกษาธรรมะด้วยความเห็นถูก ความเข้าใจถูกก็จะกลับมาสู่หนทางแห่งการค้นหาความจริงที่ว่า ตกลงแล้วเป็นใครเจอ เป็นใครรู้และเป็นใครเชื่อ กลับมาสู่หนทางที่จะไถ่ถอนตัวตนที่จำไว้อย่างเหนียวแน่นและผิดๆ ว่าเป็นใครด้วยความที่เห็นประโยชน์จริงๆ ของการอบรมเจริญปัญญา ว่ามีมากกว่าการรู้ในความแปลกของสิ่งอื่นที่ยังหาคำตอบชัดเจนไม่ได้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ยินดีที่คุณ จิต 89หรือ 121 กลับมาสู่ความเห็นถูกที่ว่า ต้องเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้เป็นหลัก ดังเช่น คุณ ajarnkruo กล่าวว่า ผู้ที่ศึกษาธรรมะด้วยความเห็นถูก ความเข้าใจถูกก็จะกลับมาสู่หนทางแห่งการค้นหาความจริงที่ว่า กลับมาสู่หนทางที่จะไถ่ถอนตัวตนด้วยความที่เห็นประโยชน์จริงๆ ของการอบรมเจริญปัญญา ว่ามีมากกว่าการรู้ในความแปลกของสิ่งอื่นที่ยังหาคำตอบชัดเจนไม่ได้ ขอนำความคิดเห็นที่แสดงถึงกลับมาสู่การเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ครับ
เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ เป็นประโยชน์มากในเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับใครก็ตาม ควรพิจารณาอย่างไร ท่านอาจารย์อธิบายไว้น่าฟังครับ
ขอความสุขความเจริญมั่นคงในกุศลธรรม
จงมีแด่ท่านผู้อนุโมทนาทุกท่าน ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกความเห็นค่ะ
ขอยกคำอธิบายของท่านอาจารย์ตอนหนึ่งซึ่งมีประโยชน์มาก ใครอยากจะอยู่สวรรค์ชั้นไหน เมื่อไม่ใช่พระอรหันต์ก็ยังต้องเกิดอีก แต่จะเกิดที่ไหน คงไม่ใช่พรหมภูมิเพราะการที่จะเกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมภูมิได้นั้นต้องเป็นผลของ ฌานกุศลที่ไม่เสื่อม ฉะนั้นก็คงจะเกิดในกามภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะเป็นอบายภูมิหรือสุคติภูมิ ตามเหตุคือกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วในสังสารวัฎฎ์
เรื่องบางเรื่องเป็นพุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เรื่องบางอย่างเราคิดไปก็ไม่เกิด ประโยชน์จึงควรที่จะศึกษาให้เข้าใจความจริงในขณะนี้ สิ่งซึ่งมีจริงขณะนี้ จะเกิดประ โยชน์มากน่ะค่ะ
ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ