บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีดแสนโกฏิกัปจะทำอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย อกุศลกรรมใดที่ทำไปแล้วก็เป็นอันทำไปแล้ว ส่วนผลของกรรมที่จะให้ผลก็แล้วแต่เหตุปัจจัยว่าจะให้ผลหรือไม่ให้ผล ตราบใดที่ยีงมีกิเลสแล้วก็ยังจะต้องเกิด (จิต เจตสิก รูป เกิด) และก็ยังมีปัจจัยที่กรรมในอดีตที่จะตามให้ผลได้ แม้กรรมที่เคยทำในแสนโกฏิกัปป์ที่แล้วก็ตาม ดังนั้นการที่จะไม่ให้ผลของกรรมให้ผลอีกเลยนั้นก็คือ การไม่มีขันธ์ ๕ เกิดขึ้นอีก ตราบใดที่ยังมีขันธ์ (สภาพธรรม) เกิดขึ้นก็ยังจะต้องได้รับผลของกรรม ขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เป็นต้น ก็เป็นผลของกรรมแล้ว แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกรรมที่ดีหรือไม่ดี ตามเหตุปัจจัย เมื่อไม่มีขันธ์ ๕ ก็ไม่มีการรับผลของกรรม เพราะไม่มีจิต เจตสิก รูปเกิดขึ้น จึงไม่มีจิตที่เป็นชาติวิบากที่เป็นผลของกรรมเกิดขึ้น
แต่ขันธ์จะไม่เกิดขึ้นก็ต้องดับตัวเหตุคือ การดับกิเลสทั้งปวง เมื่อดับกิเลสแล้ว ปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก รูปอีกเลยครับ กรรมที่เคยทำไว้ในอดีตแม้ในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมาก็เป็นอโหสิกรรมคือ ไม่ให้ผลอีกครับ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าจะทำอย่างไรให้ ไม่ให้ผลของกรรมให้ผล แต่ต้องอบรมเหตุคือการอบรมเจริญปัญญาที่ถูกต้อง คือเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าไม่ใช่เรา แม้การเห็น การได้ยิน ซึ่งเป็นผลของกรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เริ่มที่เหตุที่ถูกต้องครับ เมื่อเหตุถูก ผลคือดับกิเลสแล้วปรินิพพาน กรรมที่ทำมาในอดีตแสนโกฏิกัปป์ก็ไม่มีโอกาสให้ผลครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ไม่ต้องทำอะไร สิ่งที่แล้วไปแล้ว ไม่มีใครกลับไปแก้ไขได้ แต่เริ่มเจริญเหตุใหม่ที่ถูกต้องในขณะนี้ดีกว่าเจริญไปจนกระทั่งไม่ต้องกลับมาเกิดอีกถึงตอนนั้นทั้งกุศลกรรม อกุศลกรรมที่เคยกระทำมา จึงจะหมดไปจริงๆ
...ขออนุโมทนาครับ...
เริ่มต้นคือ ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งที่ปรากฏ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจว่าเป็นเพียง นามธรรม (สภาพที่รู้อารมณ์) รูปธรรม (สภาพที่ไม่รู้อารมณ์)
พระธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดง ตลอด 45 พรรษาเบื้องต้น ก็ คือ เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ทีละเล็กทีละน้อยจนถึงเบื้องปลาย คือประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ในอนาคต
ไม่ควรคำนึ่งถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ให้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คือการศึกษาธรรมะ และการ
ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ โดยเฉพาะการอบรมเจริญสติปัฏฐานค่ะ
เรื่องกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด ในชีวิตประจำวันก็พอที่จะเห็นได้ว่ากรรมวิจิตรมาก การเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกรรม (กำเนิดวิจิตร เพราะกรรมวิจิตร) เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ความหลากหลายของกรรมที่ได้กระทำมาแล้วในอดีตชาติที่แล้วๆ มามีอย่างนับไม่ถ้วน ทั้งที่เป็นกรรมดีและเป็นกรรมที่ไม่ดี เมื่อมีโอกาสที่จะให้ผลเกิดขึ้น
ผลก็เกิดขึ้น จึงทำให้ได้รับในสิ่งที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ทำให้มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง เพราะกรรมที่ได้กระทำมาแล้วทั้งนั้น (แม้แต่การเห็นในขณะนี้ ก็เป็นผลของกรรม แต่ไม่สามารถที่จะทราบว่าเป็นเพราะกรรมชนิดไหนที่ให้ผล) ดังนั้นจึงมีพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคทรงเตือนพุทธบริษัทไว้ ว่า เมื่อจะสั่งสมกรรมที่จะทำให้เกิดผลในภายหน้า ก็พึงกระทำกรรมอันงาม (พึงสั่งสมกรรมอันงาม) เพราะว่า บุญทั้งหลายเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ในโลกหน้า
ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น และเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าอกุศล ไม่ดี ให้ผลเป็นทุกข์ แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะได้สั่งสมอกุศลมาอย่างยาวนาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวันอกุศลจิตเกิดบ่อยมาก แต่ใครจะรู้ลักษณะของอกุศล ซึ่งเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ การที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม พิจารณาพระธรรม ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม มีประโยชน์ในการที่จะช่วยเกื้อกูลให้เราได้เห็นอกุศลของตนเอง แล้วเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แม้ในอกุศลเพียงเล็กน้อย ครับ
...ขออนุโมทนาครับ...