จิตดวงอื่นๆที่เกิดต่อจากจักขุวิญญาณ

 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่  1 ส.ค. 2551
หมายเลข  9444
อ่าน  1,600
ขออนุญาตยกประเด็นมาสนทนาครับ

จิตดวงอื่นๆ ที่เกิดต่อจากจักขุวิญญาณ ไม่เห็น แต่มีรูปสีเป็นอารมณ์ เพราะรูปยัง

ไม่ดับผมอยากทราบว่า จิตนั้นรู้รูปสีเหมือนที่จักขุวิญญาณรู้รูปสีเป็นอารมณ์ ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ก็เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เห็นเอง เหมือนเขาบอกมา ก็รู้ตามที่เขาบอกเท่านั้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 2 ส.ค. 2551
ควรทราบว่าจิตทุกประเภทมีลักษณะเหมือนกันคือ รู้แจ้งอารมณ์ แต่กระทำกิจต่างกันคือ จักขุวิญญาณกระทำทัสสนกิจ (เห็น) สัมปฏิจฉันนทำกิจรับอารมณ์ สันตีรณทำกิจพิจารณา โวฏฐัพพนทำกิจกำหนดหรือกระทำทาง เป็นต้น ดังนั้น ที่ว่าเหมือนกัน คือรู้แจ้งอารมณ์แต่ต่างโดยกิจครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 2 ส.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 2 ส.ค. 2551

จิตแต่ละประเภทมีกิจหน้าที่เกิดดับแล้วแต่ทำกิจอะไร เช่น จิตเห็นทำทัสสนกิจ จิตที่ เกิดสื่บต่อทำกิจรับอารมณ์ต่อไม่ได้ทำทัสสนกิจ แต่รู้อารมณ์เดียวกัน สัมปฏิจฉันนะ เกิดได้ 5 ทวาร รู้ได้ 5 อารมณ์ รู้สี รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งที่กระทบทางกายค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 2 ส.ค. 2551
จะไปดีอะไรละครับไม่ได้เห็นเองสักหน่อยคนเห็นฝากบอกคนรับฝากก็แค่บอกให้อีกคนหนึ่งคนๆ นี้ก็คิดว่าสวย ก็บอกอีกคนหนึ่งคนนี้แหละว่าสวยทันที่คน ๗ คนรู้แล้วก็ชอบกันเลยกว่าจะรู้ว่าสวยรูปก็แก่ไปตั้ง ๔ ขณะจิตแล้ว
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 2 ส.ค. 2551

รู้อารมณ์เดียวกันตลอดวิถี แต่ถ้าไม่ใช่จักขุวิญญาณแล้วก็ไม่ได้ทำกิจหน้าที่เห็น เพียงแต่มีรูปนั้นเป็นอารมณ์เท่านั้นครับ จิตอื่นก็ทำกิจอื่นครับ ที่ลืมไม่ได้คือขณะนี้เองที่ควรรู้ควรเข้าใจ สภาพธรรมมีให้รู้ในขณะนี้ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
citta89121
วันที่ 2 ส.ค. 2551

ปุถุชน เข้าใจผิด และสำคัญผิดว่าเป็น ตัวเราที่เห็น

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ajarnkruo
วันที่ 2 ส.ค. 2551

กว่าจะถึงชวนะที่เป็นโลภมูลจิต ชอบใจในรูป ก็ผ่านไปตั้ง ๔ ขณะจิต ดูเหมือนช้า แต่ขณะนี้ ชวนจิตที่รู้รูปที่ปรากฏทางตาทางเดียว (ไม่นับทางอื่น) เกิด-ดับไปเท่าไร ไม่มีทางนับทันแน่นอน เพราะเร็วเกินประมาณครับ รูปไม่เดือดร้อนว่า รูปจะถูกเห็นหรือไม่ถูกเห็น รูปไม่มีความคิดว่าจิตนี้เห็นตน...ดี จิตนี้ไม่ได้เห็นตน...ไม่ดี รูปไม่หลงว่าตนสวย รูปไม่รังเกียจว่าตนไม่สวย รูปบอกอะไรใครไม่ได้ เพราะรูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรแต่ที่เดือดร้อน เพราะว่า มีโมหะ ความไม่รู้ความเป็นไปของรูปและนาม ตามความเป็นจริงเกิดกับจิต เมื่อไม่รู้จึงเห็นว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สวย พอสวยก็ติด เมื่อติดก็พอใจที่จะแสวงหาเพื่อเห็นและครอบครองรูปนั้นอีก มีการกระทำกรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง เพื่อให้ได้รูปนั้นๆ วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์เพราะความติด (โลภะ) มาเนิ่นนานเหลือเกินครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 2 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 3 ส.ค. 2551

ขออนุญาตปุจฉาต่อไปครับ อย่าได้ระคายเคือง ผมยังเป็นปุถุชนมีกิเลสที่อยากรู้ครับอาจถามโดยไม่เกรงใจ เหมือนยกตน แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็จะนิ่งฟังและเชื่อในเหตุผล ผมกังวลใจอยู่เหมือนกัน เกรงจะส่งผลเป็นวิบากกรรม ได้แต่ขออโหสิกรรม แต่ก็จะหนีกรรมไม่พ้นอยู่ดี ไม่ถามใครเลยดีกว่า แล้วแต่ท่านทั้งหลายจะสนทนาธรรมขออนุโมทนาครับ

ผมขอยกตัวอย่างทางตาจักขุวิญญาณเห็นรูปแล้วดับไป เป็นวิถีจิตที่ ๕ รูปนี้แหละที่เข้ามาสู่คลองจักษุ (แต่ยังไม่ติดข้อง) วิถีจิตที่ ๖ สัมปฏิจฉันนรับเอารูปที่เห็นแล้วส่งต่อ (ยังไม่ติดข้อง) วิถีจิตที่ ๗ สันตีรณพิจารณารูปที่เห็น (ยังไม่ติดข้อง) วิถีจิตที่ ๘ โวฏฐัพพนตัดสินรูปที่เห็น (ยังไม่ติดข้อง) วิถีจิตที่ ๙ ชวนจิตติดข้องรูปที่เห็นนับจากรูปที่เห็น (วิถีจิตที่ ๕) จนถึงชวนจิต (วิถีจิตที่ ๙) เท่ากับ ๔ ขณะจิตชวนจิตติดข้องรูปที่เห็นที่วิถีจิตที่ ๕ (มาสู่คลองจักษุ) วิถีจิตที่ ๕ ดับไปแล้วแต่รูปยังไม่ดับ แต่ชราแล้ว ๔ ขณะจิตผมจึงกล่าวว่า ชวนจิตติดข้องรูปที่วิถีจิตที่ ๕ (วิญญาณจิต) โดยคิดว่าเป็นรูปที่สวยงามเหมือนที่วิญญาณจิตเห็นที่วิถีจิตที่ ๕ แต่ความเป็นจริงนั้น วิญญาณจิตดับไปแล้ว รูปก็ชราแล้ว ๔ ขณะจิต เมื่อสติระลึกได้เช่นนี้ สัมปชัญญะตัวปัญญาความรู้ตัวก็เกิดใช่หรือไม่ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
paderm
วันที่ 3 ส.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ควรเข้าใจในเรื่องการอบรมเจริญปัญญา (สติปัฏฐาน) ว่าคือการรู้ลักษณะของสภาพ ธรรมที่ปรากฎขณะนี้ ตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่การคิดไตร่ตรองว่าสติและปัญญาจะ ต้องรู้ชวนจิตที่เท่าไหร่ หรือติดข้องที่ชวนจิตดวงที่เท่าไหร่ครับ เพราะขณะที่คิดอย่าง นั้นก็ล่วงเลยสภาพธรรมที่ปรากฏให้ระลึกไปแล้ว ดังนั้นการอบรมปัญญาจึงไม่ควรลืม ว่าเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะติดหลงเพลินไปในชื่อ ไปในเรื่อง ราวของสภาพธรรม ทั้งๆ ที่สภาพธรรมกำลังปรากฏให้รู้ในขณะนี้ ตามความเป็นจริงใน ชีวิตประจำวัน เพราะขณะที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะ นั้นก็ไม่ได้คิดเรื่องราวต่างๆ แต่ขณะนั้นกำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมครับ เริ่มเข้า ใจขณะนี้เอง ศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ เป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น

ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
choonj
วันที่ 3 ส.ค. 2551

สิ่งที่น่าที่งก็คือ เมื่อเป็น ชวนแล้ว จากชาติวิบากเปลี่ยนเป็น กุศล อกุศลและ กิริยา แล้วแต่การสังสม ปัญหาก็อยู่ที่ตรงนี้ละครับ ถ้าสามารถรักษากุศลจิตไว้ได้ก็รอดตัว

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
kaewin
วันที่ 3 ส.ค. 2551

จิต แต่ละดวง เกิด ดับที ละขณะ เพราะ ฉะนั้น จิตเห็น สี เนื่องมาจาก จักขุปสาทรูปกระทบ เท่านั้น เพราฉะนั้น จิตที่ รู้รูปอื่น เช่น รู้เสียง รู้กลิน รู้สัมผัส ไม่สามารถเห็น สีได้ อย่างแน่นอนครับ

ขออนุโมทนา สาธุ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
prachern.s
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ขอเพิ่มเติมความเห็นที่ ๑๒ หน่อยนะครับ

จิตที่เกิดต่อจากจักขุวิญญาณ รู้สี แต่ไม่เห็นสี จักขุวิญญาณเกิดที่จักขุปสาทรูปเท่านั้น จิตที่เกิดปสาทรูปอื่นๆ ไม่รู้สี แต่จิตทางมโนทวารรู้สีต่อจากจักขุทวารวิถีได้

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 4 ส.ค. 2551

จิตที่เกิดต่อจากจักขุวิญญาณ รู้สี แต่ไม่เห็นสี จักขุวิญญาณเกิดที่จักขุปสาทรูปเท่านั้น จิตที่เกิดปสาทรูปอื่นๆ ไม่รู้สีแต่จิตทางมโนทวารรู้สีต่อจากจักขุทวารวิถีได้คุณ Prachern.s ครับผมว่าการรู้รูปสีที่การเห็นดับไปแล้ว โดยจิตทำกิจรับอารมณ์ต่อจากการเห็นจึงไม่ใช่รูปสีขณะที่เห็น เราจึงติดข้องรูปสีที่เห็นซึ่งเปลี่ยนไปแล้ว ๔ ขณะจิต (ขั้นการศึกษา)

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
prachern.s
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ขอต่ออีกนิดนะครับ

วิถีจิตทางมโนทวารรับรู้สีที่พึ่งดับไป แต่ความรวดเร็วของจิตที่เป็นไปจึงเสมือนรู้สีที่กำลังเป็นไป ตามหลักปริยัติแสดงว่า มโนทวารวิถีแรก มีรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์ดังนั้นโลภะจึงติดข้องทุกอย่างเว้นเพียงโลกุตตรธรรม ๙ เท่านั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 5 ส.ค. 2551

คุณ prachern.s ครับผมขอถามครับ"..ตามหลักปริยัติแสดงว่า มโนทวารวิถีแรก มีรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์"มโนทวารวิถีแรกตามที่ท่านกล่าวนี้ หมายถึงสัมปฏิจฉันนจิตที่เกิดต่อจากจักขุวิญญาณหรือมโนทวาราวัชชนจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
เมตตา
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาคุณ prachern.s ที่ได้กรุณาอธิบายให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนมากค่ะ

แต่ คุณจำแนกไว้ดีจ๊ะ อาจยังศึกษาให้เข้าใจไม่ดีพอ พระธรรมเป็นของลึกซึ้งและยาก ควร ที่จะศึกษาและพิจารณาด้วยความรอบคอบ ขอแนะนำให้ศึกษาจากหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขปและพิจารณาตามจะได้เข้าใจขึ้น โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับความคิด เห็นที่10 คุณ paderm ควรศึกษาพระธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ปรากฎขณะนี้ตามความ เป็นจริงจะได้ประโยชน์มาก ไม่ใช่ไปรู้สิ่งซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ซึ่งเป็นพระปัญญาของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นเพียงผู้ศึกษาและเข้าใจตามได้เท่านั้น

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
prachern.s
วันที่ 6 ส.ค. 2551

ตอบความเห็นที่ ๑๖ ครับคำว่า " มโนทวารวิถีแรก " หมายถึงวิถีจิตที่เกิดรู้อารมณ์ต่อจากทางปัญจทวารคือตั้งแต่ มโนทวาราวัชชนะ ชวนะ ตทาลัมพนะ จิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใจมีชื่อว่า มโนทวารวิถี

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 9 ส.ค. 2551
ถามความเห็นที่ ๑๘ มโนทวารวิถีแรก มีรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์หรือ อย่างไรครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
prachern.s
วันที่ 9 ส.ค. 2551

ตอบความเห็นที่ ๑๙ กรุณาอ่านทบทวนความเห็นที่ ๑๕ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 9 ส.ค. 2551

ทบทวนแล้ว "...ตามหลักปริยัติแสดงว่า มโนทวารวิถีแรก มีรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์..."ผมมีความเห็นว่าพึงกล่าวว่า... มีรูปที่ดับไปแล้วเป็นอารมณ์

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
เมตตา
วันที่ 9 ส.ค. 2551

จากการศึกษาพระธรรมซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น เราสามารถ ศึกษาและสามารถรู้ตามได้ว่าชั่วขณะลัดนิ้วมือเดียว จิตเกิดดับสืบต่อแสนโกฎิขณะ เพราะฉะนั้นจากความคิดเห็นที่ ๑๕ คุณ prachern.s กล่าวว่า วิถีจิตทางมโนทวาร รับรู้สีที่เพิ่งดับไปเป็นอารมณ์ซึ่งก็มีความหมายเดียวกับที่กล่าวว่า

มีรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์ซึ่งก็คือรูปสีที่เพิ่งดับไปนั่นเอง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ และขออนุโมทนาคุณ prachern.s ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 10 ส.ค. 2551

จำแนกไว้ว่ารูปมีอายุ ๑๗ ขณะ จากนั้นเรียกว่า "ธรรมารมณ์" มิใช่ "รูปารมณ์"

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
เมตตา
วันที่ 10 ส.ค. 2551

วิถีจิตทางมโนทวารรับรู้สีที่พึ่งดับไป แต่ความรวดเร็วของจิตที่เป็นไปจึงเสมือนรู้สีที่กำลังเป็นไป ตามหลักปริยัติแสดงว่า มโนทวารวิถีแรก มีรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์

ไม่ใช่เรียกว่า " ธรรมารมณ์ " ค่ะ แต่เป็น " รูปารมณ์ " ซึ่งก็คือ สีที่พึ่งดับไป แต่ความรวดเร็วของจิตที่เป็นไปจึงเสมือนรู้สีที่กำลังเป็นไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
kik
วันที่ 10 ส.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 12 ส.ค. 2551
ถามครับ เมื่อวิถีจิตทางปัญจทวาร ทวารใดทวารหนึ่งเกิดรู้อารมณ์แล้วดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดคั่นหลายขณะ แล้วมโนทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้นสืบต่อรับรู้อารมณ์นั้นต่อทางใจอีกคืออาศัยใจ (ภวังคุปัจเฉทจิต) เป็นมโนทวารเกิดขึ้น รู้อารมณ์เดียวกับจิตที่รู้อารมณ์ทางปัญจทวารที่ดับไปแล้วนั้นซ้ำอีก (ปรมัตถธรรมสังเขป หน้า ๓๔) ถามว่า อารมณ์ดับแล้ว สภาพรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
prachern.s
วันที่ 13 ส.ค. 2551
ด้วยความรวดเร็วของสภาพรู้คือจิต แม้ว่าอารมณ์พึ่งดับไปวิถีจิคทางมโนทวารย่อมเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นได้เป็นธรรมดา และวิถีจิตทางมโนทวารอีกหลายวาระย่อมเกิดขึ้นนึกถึงสัณฐานและชื่อของอารมณ์นั้นอีกได้..
 
  ความคิดเห็นที่ 30  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 13 ส.ค. 2551

ครับคุณ prachern.s ขอขอบคุณที่กรุณาอธิบาย โดยอรรถย่อมเป็นเช่นนั้น
สภาพรู้กับสิ่งที่ถูกรู้แยกกันอยู่แล้ว
ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 31  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 14 ส.ค. 2551

ความคิดเห็นที่ ๒๒,๒๔ โดยคุณเมตตา ถูกต้องครับ "มโนทวารวิถีแรก มีรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์" เนื่องจาก มโนทวารวิถีจิตรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ อารมณ์ แต่ธัมมารมณ์นั้นรู้ได้เฉพาะมโนทวารวิถีจิตเท่านั้น

มโนทวาราวัชชนจิต ทำกิจรำพึงถึงอารมณ์ทางมโนทวาร คือ นึกถึงอารมณ์ทางมโนทวาร ในวันหนึ่งๆ ที่คิดนึกเรื่องต่างๆ นั้น ขณะที่คิดนั้น จิตไม่รู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งทางตา หู จมูก ลิ้น กายเลย

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 32  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 14 ส.ค. 2551

วิถีจิตทุกขณะทางใจซึ่งเป็นมโนทวารวิถีจิตนั้น รู้อารมณ์ได้ทุกอารมณ์ คือ รู้ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ต่อจากวิถีจิตที่รู้ทางปัญจทวาร และรู้ธัมมารมณ์ คือ อารมณ์ที่สามารถรู้ได้เฉพาะทางใจ คือ มโนทวาร ทวารเดียวเท่านั้น (ปรมัตถธรรมสังเขปหน้า ๓๒)

ขอนอบน้อมพระธรรม ขอความเห็นผิดอย่ามีแก่ข้าพเจ้าอีกเลย

ขอกราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และขอขอบพระคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน ขออภัยที่โตแย้ง ขออโหสิกรรมทางใจ

ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ท่านทั้งหลาย

ขออุทิศกุศลให้เจ้าเวรนายกรรม และสรรพสัตว์ทั้งหลาย

 
  ความคิดเห็นที่ 33  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 14 ส.ค. 2551

เพราะคิดนึกนี้ซินะที่ติดข้อง เกิดอภิชฌาและโทมนัส เป็นทุกข์ ไม่เห็นทุกข์ เห็นว่าเป็นสุข ปรารถนา ต้องการสุข ไม่ต้องการทุกข์ ไม่เกิดปัญญา ยึดสิ่งที่ดับไปแล้ว เป็นกรรมสะสมไว้ในจิตทีเดียว บังคับไม่ได้เสียด้วย ย่อมเป็นไปตามกรรม จงอย่าประมาทในสภาพธรรมทั้งหลาย เจริญสติปัฏฐานกันเถิด

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 34  
 
เมตตา
วันที่ 14 ส.ค. 2551

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อาจารย์prachern.s ด้วยค่ะ เมตตาเองก็ได้รับความรู้ความเข้าใจจากท่านทั้งสองค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 35  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 14 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ